วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

อีสาน เทพเจ้าประจำทิสตะวันออกเฉียงเหนือ


    สวัสดีผู้ที่มีความสนใจเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  และผู้ที่มีโอกาสได้อ่านบทความนี้นะครับ  ปกติแล้ว  ผมสร้างบล็อคนี้ขึ้น  เพื่อที่จะนำเสนอเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น  แต่ผมคิดว่า  การที่จะรู้จักสถานที่ท่องเที่ยว  แต่ไม่รู้จักเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ  หรือประเพณีต่างๆนั้น   ถือว่าองค์ความรู้ที่จะนำติดตัวไปใช้ในการท่องเที่ยวในสถานที่ที่ผมได้แนะนำไป มันจะยังมีไม่เพียงพอ  ดังนั้น  วันนี้ผมจึงได้ตั้งใจเขียนบทความนี้ขึ้น  เพื่อที่จะนำเสนอเกี่ยวกับประวัติและความเป็นมาของเทพเจ้า  และเทพเจ้าที่มีบทบาทและมีอิทธิพลกับชีวิต  รวมไปถึงการมีบทบาทในศาสนานั้น ก็หนีไม่พ้นตำนานเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์  ซึ่งเป็นตำนานที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน จนไม่สามารถที่จะแยกออกจากศาสนาพุธได้เลยครับ


    เทพเจ้าที่เรารู้จักกันอยู่แล้ว จะมีเทพหลักๆอยู่ 3  องค์ คือ พระพรหม ผู้สร้าง พระนารายณ์ ผู้รักษา  และพระอิศวร คือผู้ทำลาย ซึ่งรวมสามพระองค์นี้เรียกว่า ตรีมูรติ  แต่อย่างไรก็ตาม  ตามตำนานของศาสนาพราหมณ์ก็ยังมีเทพเจ้าอีกหลายพระองค์ ที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต รวมไปถึงมีผลต่อวัฒนธรรมต่างๆด้วยครับ  และในบทความนี้ จะขอกล่าวถึง เทพเจ้าที่มีหน้าที่รักษาและดูแลความเรียบร้อยในแต่ละทิศ  ซึ่งถ้าจะแบ่งเป็นทิศหลักๆ ก็จะมีอยู่ทั้งหมด 4 ทิศ  คือ ท้าวทตรดถ์ ผู้รักษาทิสตะวันออก บางตำนานกล่าวว่า  เป็นพระอินทร์   ท้าววิรุณหค  รักษาทางด้านทิศใต้  ท้าววิรูปักษ์  ผู้เป็นใหญ่ทางด้านทิศใต้  และท้าวกุเวน หรือท้าวเวสสุวัณ ผู้เป็นใหญ่ทางด้านทิศเหนือ  รวมที่ 4 องค์นี้ เรียกว่า จตุโลกบาล  แต่นอกจากนี้แล้ว  ก็ยังมีเทพแยกย่อยออกมาอีก  เป็นเทพประจำทิศต่างๆ รวมได้ทั้งสิ้น 8 ทิศ  ซึ่งถ้าจะกล่าวกันให้หมดในบทความนี้  ผมมีความเห็นว่า มันอาจจะยาวเกินไป ในบทความนี้  ผมจึงจะกล่าวถึงเทพประจำทิศตะวันออกเฉียงเหนือก่อนเป็นอันดับแรก  นั่นคือ เทพอีสาน


    เทพอีสาน  หรือ เทพเอสาน  เป็นเทพเจ้าที่มีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย รวมไปถึงความอยู่เย็นเป็นสุขของมวลมนุษย์  บางตำนานก็กล่าวกันว่า คำว่า อีสาน  เพี้ยนมาจาก อิศวร ที่เรารู้จักกันดี  และบางตำนานก็กล่าวกันว่า  เทพอีสาน คือ สุริยะเทพ ผู้มีหน้าที่ปกปักรักษาและดูแลทิศตะวันออกเฉียงเหนือเช่นกัน   แต่เนื่องจากตำนานของพระอิศวรนั้น  ผู้เขียนอาจจะได้นำเสนอในบทความต่อๆไป  เพราะเป็นตำนานที่ซับซ้อน และยืดยาวมาก ในบทความนี้  จะพูดถึง พระสุริยะเทพ  หรืออาจจะเรียกได้ว่า เป็นพระอีสาน หรือพระเอสานก่อนนะครับ


    สุริยะเทพ  ตามที่เรารู้จักกันดี ก็คือ เทพที่ทำหน้าที่ส่องแสงสว่างให้กับโลก  โดยตำนานในคัมภีร์พระเวทย์กล่าวไว้ว่า  พระองค์มีความยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับตรีมูรติ หรือพูดง่ายๆก็คือ สุริยะเทพองค์เดียว เทียบได้กับพระพรหม พระนารายณ์ และพระอิศวรรวมกันเลยละครับ  กล่าวกันว่า พระองค์จะทรงรถออกมาหน้าทำหน้าที่ในเวลาเช้า  โดยมีวารุณา 7  องค์ ช่วยขับม้าทั้ง 7 ตัวเพื่อลากรถของพระสุริยะเทพ  โดยวารุณานี้ มียศศักดิ์เป็นถึงน้องพญาครุฑเลยครับ  ส่วนชายาของพระสุริยะเทพนี้ ในตำนานกล่าวไว้ว่า คือพระแม่อุษา  เป็นตัวแทนของตอนกลางคืน  โดยพระนางจะแต่งองค์ด้วยเครื่องประดับมากมาย  กล่าวกันว่า ดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า เปรียบได้กับเครื่องประดับของพระนางอุษาครับ  และพระองค์ก็มีชายาอีกองค์ คือ พระแม่คงคา  แต่พระแม่คงคาไม่สามารถทนทานต่อความร้อนของพระสุริยะเทพได้ จึงหนีไปอยู่ในแม่น้ำตามเดิมสำหรับตำนานของพระสุริยะเทพนี้มีข้อมูลเยอะมาก  จึงไม่สามารถกล่าวได้ทั้งหมดนะครับ  แต่อย่างไรก็ตาม  คนก็มีความนับถือพระสุริยะเทพ จนนำไปสร้างเป็นสถาปัตยกรรมและสร้างในศิลปะต่างๆตามศาสนสถาน  และเคารพกราบไหว้บูชา  ถือว่าพระองค์มีอิทธิพลในด้านสิตใจของคนที่นับถือศาสนาพราหมณ์มากครับ


    สำหรับศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพระสุริยะเทพนั้น  ส่วนใหญ่จะพบมากในภาคใต้ของไทย  โดยมีส่วนผสมผสานระหว่างศิลปะชะวากับศิลปะปาละ  ซึ่งจะเห็นได้ว่า  อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์นั้น  เข้ามามีบทบาทในศาสนาพุธ แม้กระทั่งในเรื่องของศิลปะเลยทีเดียว  และอีกตัวอย่างหนึ่งของงานศิลปะที่เกี่ยวข้อง ก็คือ  ปฏิมากรรมฐานพระธรรมจักรของศิลปะทวารวดีตอนต้น  ซึ่งหากสังเกตจะเห็นว่า มีเทพองค์หนึ่งอยู่ที่ฐานของพระธรรมจักร  ก่อนหน้านี้เคยมีการถกเถียงกันในแวดวงของนักวิชาการว่า เทพองค์นี้ คือใครกันแน่  แต่ในปัจจุบัน ก็เป็นที่ยอมรับแล้วว่า เทพองค์นั้นคือ พระสุริยะเทพนั่นเองครับ และนอกจากงานศิลปะที่ยกมาทั้งสองอย่างนี้  ก็ยังมีงานศิลปะอีกหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับสุริยะเทพ แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ในอดีต มีการนับถือเทพเจ้า และบูชาเทพเจ้ากันอย่างแพร่หลาย  สำหรับบทความนี้  ก็ขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ  หากใครที่เชื่อเกี่ยวกับเรื่องเทพเจ้าอยู่แล้ว  ก็ให้พิจารณาและเชื่อตามความเหมาะสม  หากใครไม่เชื่อในตำนานเหล่านี้  ก็ขอให้อ่านไปเพื่อความเพลิดเพลิน  และเก็บเป็นความรู้เสริมในเรื่องศิลปะหรือสถาปัตยกรรมต่างๆ   และขอขอบคุณอีกครั้ง ที่ติดตามอ่านจนจบครับ




อ้างอิง:

สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่  17  พ.ย.  2561  จากเว็บไซต์: https://siamrath.co.th/n/13191?fbclid=IwAR2qXwXdKh_Go6PoEkcPpJ3BIkNcoU7qmqoRucXZx7fx5CLXQ1MIa7SAxSw

สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่  16  พ.ย.  2561  จากเว็บไซต์:  http://www.thamnaai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=573413&Ntype=1

สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่  17  พ.ย.  2561  จากเว็บไซต์:  http://2265506004.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561

หอพระแก้ว สถานที่ที่ควรสักการะประจำประเทศลาว


ที่มาภาพ : https://laoshandicraft.com/wp-content/uploads/2016/12/wat-ho-phra-keo.jpg

     สวัสดีครับ กลับมาเจอกันอีกแล้วนะครับ สำหรับบล็อคที่จะพาทุกท่านที่สนใจเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปรับรู้ช้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศต่างๆของสมาชิกอาเซียน แล้วท่านอาจจะไม่ต้องเสียเงินไปเที่ยวแถบยุโรปเลยก็ได้ เพราะในเอเชียของเรา ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และสวยงามอยู่หลายที่ครับ  ส่วนบทความนี้ ผมจะพาท่านไปเยี่ยมชมหอพระแก้ว ซึ่งอยู่ในประเทศลาว  ซึ่งหอพระแก้วแห่งนี้ จะมีความสำคัญยังไง และน่าท่องเที่ยวขนาดไหน ตามผมมาเลยครับ


     สาเหตุที่เรียกว่า หอพระแก้ว นั้น ก็เพราะเคยเป็นสถานที่ประดิษฐานขององค์พระแก้วมรกตนั่นเองครับ  ซึ่งพระแก้วมรกต หรือที่เรียกชื่อเต็มๆว่า พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร นั้น  ได้มีการค้นพบที่จังหวัดเชียงราย และได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานที่นครเชียงใหม่ ต่อมา พระเจ้าชัยเชษฐาธิราชเจ้า ทรงมีพระประสงค์ให้สร้างหอพระแก้วขึ้นที่ประเทศลาว เพื่อใช้เป็นหอประดิษฐานของพระแก้วมรกต ที่พระองค์ทรงอัญเชิญจากนครเชียงใหม่  หลังจากที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ต่อจากพรเจ้าโพธิสาล ผู้เป็นบิดาได้เสียชีวิตจากการที่อาณาจักรลาวทำสงครามกับสยามในปี พ.ศ. 2322

ที่มาภาพ : https://cuulongtravel.com.vn/wp-content/uploads/2015/11/VC4.jpg

     ต่อมา นครเวียงจันทร์ได้ทำสงครามกับสยาม และถูกสยามตีแตก สยาม ได้อัญเชิญพระแก้วมรกต ซึ่งถือเป็นพระพุธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของนครเวียงจันทร์กลับไปที่สยาม  รวมไปถึงการกวาดต้อนคนที่อาศัยอยู่ให้ไปอยู่ที่สยามอีกด้วย  สำหรับหอพระแก้วที่ยังมีให้เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นหอพระแก้วที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่เกือบทั้งหมด  ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน หอพระแก้วจะไม่ได้เป็นวัดเหมือนครั้งในอดีต แต่ก็ยังคงมีผู้คนไปกราบไหว้อย่างไม่ขาดสาย


     ภายในบริเวณหอพระแก้ว เป็นสถานที่ที่มีความเงียบสงบ  มีการจัดแสดงภาษาขอม และกลองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ของราชวงศ์ลาว  นอกจากนี้ ยังมีบานประตูใหญ่ที่สลักเป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยประตูทั้งสองบานนี้ เป็นสิ่งที่เหลืออยู่มาแต่เดิม  นอกจากจะเคยเป็นที่ประดิษฐานองค์พระแก้วมรกตแล้ว สถานที่แห่งนี้ ยังเคยเป็นที่ฝรั่งเศสใช้เป็นฐานบัญชาการ เมื่อครั้งที่ลาวตกเป็นอาณานิคมอีกด้วย




สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 20  ตุลาคม 2561  จากเว็บไซต์:  https://travel.mthai.com ›
สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 20  ตุลาคม 2561  จากเว็บไซต์:  laos-travel.blogspot.com/2013/07/blog-post_13.html
สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 21  ตุลาคม  2561  จากเว็บไซต์:   www.dooasia.com/trips/detail.php?id=241

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2561

กลุ่มวัด ปรัมบานัน มรดกโลกของประเทศอินโดนีเซีย


ที่มาภาพ : http://www.saulbellow.org/wp-content/uploads/2016/07/วัดพรัมบานัน7-005.jpg

     สวัสดีครับ  กลับมาเจอกันอีกเช่นเคย กับบล็อคนำเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่เราอาศัยอยู่กัน แต่บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวแห่งไหนที่น่าสนใจบ้าง blogger สมัครเล่นคนนี้ ก็จะได้นำมาแนะนำให้รู้จักกันครับ

    สามบทความที่แล้ว ผมได้พาไปเยี่ยมชมเกี่ยวกับเจดีย์ของศาสนาพุธ มัสยิดของศาสนาอิสลาม รวมไปถึงกลุ่มโปรสาทโบราณมาแล้ว มาครั้งนี้ เราจะมาแนะนำวัดอีกเช่นเคย  แต่ไม่ใช่วัดที่เกี่ยวกับศาสนาพุธโดยตรงนะครับ เพราะกลุ่มวัดที่จะพาไปเยี่ยมชมครั้งนี้ เป็นวัดที่มีความเป็นมาอย่างยาวนาน ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกเลยทีเดียวครับ  ว่าแล้วก็ตามไปชมกันเลย

ที่มาภาพ : https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhskLi5GbMODIhEGc0euij2C8cq8iNh9__j2WdqeHPXEWmDQh35DPn8zube8kCqq9XPAMdhQTdbYwTwyTmXE8rDaqm4HWQ-P9Qqjo3J4XvOFqvdG2HTxkN45Jj3yzXe_bo5hengX6PcpkOy/s1600/Candi+Prambanan.jpg

    กลุ่มวัดที่ผมพูดถึงตั้งแต่ต้นก็คือ กลุ่มวัดของประเทศอินโดนีเซีย  หรือที่เรียกกันว่า กลุ่มวัดปรัมบานัน นั่นเองครับ  โดยวัดนี้ มีที่ตั้งอยู่แถบชวากลาง ห่างออกไปจากเมืองจากาตาร์ไปทางตะวันออกเพียง 18 กิโลเมตร  กลุ่มปราสาทหินปรัมบานัน หรือกลุ่มวัดปรัมบานัน มีความสำคัญและยิ่งใหญ่ไม่ต่างจากบูโรพุธโทเลยทีเดียวครับ  โดยความยิ่งใหญ่ของกลุ่มวัดปรัมบานันก็คือ  เป็นเทวสถานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไสวนิกายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยครับ

ที่มาภาพ : https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigILQflmnAVJg-KK3ljQOIhL5T63M8q6dr7rKCE6ASdLF30tCsux4wraDf4PIKTKZqclWz3PaowobtCV81B6D6XnkA9O8_tNfkCp4jbQF7KRBUUu3su7RRSqjHTBOvaFiO5310Bgjv6D0I/s1600/02PrambananMap.jpg

    โดยเชื่อกันว่า เทวาลัยองค์ใหญ่ทั้งสามหลังนั้น สร้างขึ้นเพื่อถวานแด่เทพเจ้าทั้งสามของศาสนาพราหมณ์ คือ เพื่อบูชา พระพรหม เป็นวิหารที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ เพื่อบูชาพระนารายณ์ เป็นวิหารที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้  และเทวาลัยองค์กลาง ที่มีความสูงที่สุดถึง 48  เมตร เชื่อว่าเป็นการสร้างขึ้นเพื่อบูชาพระอิศวร  โดยกลุ่มเทวาลัยหลักๆทั้งสามองค์นี้ จะหันหน้าออกไปทางทิศตะวันออก นอกจากนี้แล้ว ยังมีเทวาลัยองค์ขนาดย่อมๆ อยู่ตรงกันข้ามกับเทวาลัยทั้งสามองค์นี้ เชื่อกันว่า เป็นเทวาลัยที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่สัตว์พาหนะของเทพเจ้าทั้งสามองค์นี้ด้วยครับ


     นอกจากความยิ่งใหญ่ของเทวาลัยที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีลวดลายการแกะสลักอันวิจิตรงดงาม เกี่ยวกับเรื่องราวของรามเกียรติ์  ซึ่งเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของเทพเจ้าทั้งสามองค์อีกด้วย  อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ ยังคงเหลือเทวาลัยหลังเล็กให้ดูน้อยลง เนื่องจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวแถบเกาะชวา ทำให้ศิลปะอันงดงามเหล่านี้ต้องเสียหายไปด้วย  กลุ่มปราสาทปรัมบานัน ได้ถูกพิจารณาให้เป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2534  และเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยก็ว่าได้ครับ

ที่มาภาพ : http://photo.sorotmedianusantara.com/sleman/2018-03/717_pelaksanaan_prosesi_mendhak_ti_20180316171239.jpg

    เป็นยังไงกันบ้างครับ จากการแนะนำเรื่องราวย่อๆของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ สำหรับใครที่ชอบการ่องเที่ยวเพื่อศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ หรือเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องของศาสนา ก็สามารถไปเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ได้นะครับ ส่วนบทความต่อไป ผมจะพาท่านไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวแห่งไหนนั้น อย่าลืมติดตามกันนะครับ  ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชม หากถูกใจก็ฝากแชร์ด้วยนะครับ หรือหากมีข้อผิดพลาดประการใด ก็ขออภัย ไว้ ณ ที่นี้เลยก็แล้วกันนะครับ

สืบค้นข้อมูลเมื่อ  8 ตุลาคม  2561 จาก:  https://travel.mthai.com/blog/73785.html

http://gothailandgoasean.tourismthailand.org/th/ท่องไปในดินแดนชวา-เยือนจันดีราราจงกรัง-“-ปรับบานัน”-อาณาจักรแห่งทวยเทพ/

http://aseannotes.blogspot.com/2014/07/2_13.html

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561

อาณาจักรพยู มรดกโลกแห่งแรกของพม่า

557000007299301
ที่มาภาพ : https://travel.mthai.com/world-travel/87302.html

         ประเทศพม่า หรือ เมียนมา ที่เรารู้จักนั้น  นอกจากจะเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความหลากหลายของกลุ่มคน และเป็นประเทศที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมากแล้วนั้น ยังเป็นประเทศที่มีอดีตที่ยาวนาน และเคยเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาก่อน ซึ่งในครั้งนี้ ผมจะพาไปสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ในอดีตของอาณาจักรแห่งนี้ นั่นคือ อาณาจักรพยู ซึ่งปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งแรกของพม่าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเองครับ


1403587543-img0685-o
ที่มาภาพ : https://travel.mthai.com/world-travel/87302.html

        หลายๆคนอาจจะสงสัยตั้งแต่แรกว่า พยู คือใคร ผมจะขออธิบายคร่าวๆนะครับ ไม่ได้ลงข้อมูลในเชิงลึก เพราะเกรงว่าทุกท่านจะเบื่อเสียก่อน พยู คือกลุ่มคนที่เข้ามาอาศัยในพื้นที่แห่งนี้ก่อนคนพม่า หรือบางตำราอาจจะกล่าวไว้ว่า คนพยู ก็เป็นคนที่นี่อยู่แล้ว แต่ภายหลังมาเปลี่ยนชื่อเรียกตัวเองใหม่ เป็น พม่า นั่นเองครับ  โดยอาชีพหลักๆของคนพยู ก็คือการทำเกษตรกรรม เพราะในพื้นที่ที่คนพยูอาศัยอยู่นั้น  อยู่แถบริมฝั่งแม่น้ำอิรวดี ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำสายใหญ่ของพม่าเลยทีเดียว


1403589552-Screenshot-o
ภาพถ่ายแสดงเขตกำแพงเมืองโบราณศรีเกษตร
ที่มาภาพ : https://travel.mthai.com/world-travel/87302.html
        และเมื่อความเจริญรุ่งเรืองของคนพยู ไม่หยุดอยู่แค่การตั้งรกรากถิ่นฐานและการทำเกษตร  เขาได้รวมตัวกัน และจัดตั้งอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งขึ้น นั่นคือ อาณาจักรศรีเกษตร    ก่อตั้งขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 14  ซึ่งอาณาจักรแห่งนี้ มีพื้นที่กว้างขวาง และยังได้รับวัฒนธรรมด้านต่างๆมาจากอินเดีย ทั้งด้านภาษา และด้านศาสนาครับ   ซึ่งตรงนี้แหละครับ ทำให้ผมตั้งข้อสังเกตได้ว่า สาเหตุที่คนพม่าในปัจจุบัน มีความเลื่อมใสและศรัทธาในพระพุธศาสนา อาจจะเป็นเพราะว่า เคยได้รับอิทธิพลเหล่านี้มาจากอินเดียก็ได้นะครับ
1403590479-KKG121disp-o
ที่มาภาพ : https://travel.mthai.com/world-travel/87302.html


       และด้วยความยิ่งใหญ่และเก่าแก่ของอาณาจักรศรีเกษตรนี่เองครับ ที่ทำให้เมืองใกล้เคียงกับอาณาจักรศรีเกษตรอย่างเมืองเบคถาโนและเมืองคาลิน  ได้ถูกรวมเข้ามาเป็นกลุ่มอาณาจักรเดียวกัน โดยมีชื่อเรียกว่า "อาณาจักรโบราณพยู"  แต่ถ้าจะไปดูความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเหล่านี้ ในปัจจุบันคงมีแต่ร่องรอยและซากปรักหักพังของอาณาจักร เช่น ซากเก่าของพระพุธรูป และเจดีย์ต่างๆ ทิ้งไว้ให้เราได้ชื่นชม และซึมซับเอาความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเหล่านี้ จากมโนภาพของท่านเองครับ


1403588319-bto4-o
ที่มาภาพ : https://travel.mthai.com/world-travel/87302.html

       ในปัจจุบัน กลุ่มอาณาจักรโบราณพยู ได้ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกแห่งแรกของพม่า จาก Unesco ในปี พ.ศ. 2557  ที่ผ่านมา  นั่นสื่อให้เห็นว่า ต่อไปนี้ อาณาจักรโบราณที่เคยเป็นสมบัติของพม่า ก็คือสมบัติของคนทั้งโลก ที่จะต้องช่วยกันดูแลรักษา เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์เหล่านี้ต่อไป  สำหรับบทความนี้  ผมขอจบไว้เพียงแค่นี้นะครับ แล้วอย่าลืมติดตามต่อบทความหน้า ว่าผมจะพาทุกท่าน ไปเยี่ยมชมอาณาจักรโบราณ หรือสถานที่ท่องเที่ยวแห่งไหนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรานะครับ






อ้างอิงข้อมูลจาก http://gothailandgoasean.tourismthailand.org/th/เที่ยวเมืองโบราณอาณาจักรพยู-มรดกโลกแห่งแรกของพม่า/   สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2561

อ้างอิงข้อมูลจาก https://travel.mthai.com/world-travel/87302.html สืบค้นเมื่อ 21  กันยายน 2561

อ้างอิงข้อมูลจาก  https://aseanworldtravel11.blogspot.com/2017/10/blog-post.html  สืบค้นเมื่อ 25  กันยายน 2561

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2561

มัสยิดทองคำ ทัชมาฮาลแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


ที่มาภาพ : https://photos.travelblog.org/Photos/176554/651176/f/6459224-Jame_Asr_Hassanil_Bolkiah_Mosque-0.jpg

      หลังจากที่เราได้พาท่านไปเยี่ยมชมเจดีย์ชเวดากอง เจดีย์แห่งศรัทธาของชาวพุธ ที่มีทั้งความสวยงามและอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความศรัทธาในพระพุทธศาสนาในบทความก่อนหน้านี้  ในบทความนี้ ผมจะนำพาผู้ที่สนใจจะท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาสัมผัสกับความสวยงาม และอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศรัทธาในศาสนาเช่นเดิมครับ...

     แต่เดี๋ยวก่อน... ผมไม่ได้จะนำเอาบทความที่เคยเขียนก่อนหน้านี้มา replay ซ้ำหรอกนะครับ เพราะในครั้งนี้ ผมจะนำพาท่านผู้อ่านเข้าไปสัมผัสความอลังการของมัสยิดทองคำ ซึ่งทุกคนก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วนะครับว่า มัสยิด เป็นศาสนสถานสำคัญของศาสนาอิสลาม  จะให้เข้าใจง่ายๆหน่อย ก็เหมือนวัดในพระพุทธศาสนาเรานี่ละครับ เกริ่นนำมายืดเยื้อแล้ว เราไปทำความรู้จักกับมัสยิดทองคำกันเลยครับว่า จะยิ่งใหญ่อลังการ และน่าตื่นตาตื่นใจเพียงไหน  พร้อมแล้วก็ตามมาเลยครับ

แผนที่ประเทศบรูไน
ที่มาภาพ : http://gothailandgoasean.tourismthailand.org/wp-content/uploads/2017/01/word-image-555.jpeg


    บรูไนดารุสซาลาม  เป็นประเทศหมู่เกาะ ที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเกาะบอร์เนียว ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่อันดับ 3 ของโลก และเป็นหนึ่งในสมาชิกอาเซียน  ถือเป็นที่มั่งคั่งในด้านทรัพยากร โดยเฉพาะน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ทำให้เศรษฐกิจของบรูไนรุ่งเรือง แต่นอกจากจะมีความโดดเด่นในด้านเศรษฐกิจแล้ว ในด้านการท่องเที่ยว ประเทศแห่งนี้ก็มีดีไม่แพ้ประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย  โดยในบทความนี้ เราจะกล่าวถึงมัสยิดทองคำ ซึ่งเป็นมัสยิดประจำตัวของสุลต่าน เจมส์ อาร์ อัสซานัส โบลเกียร์  ซึ่งถือเป็นศาสนสถานที่สำคัญในศาสนาอิสลามอีกแห่งเลยทีเดียว

     สาเหตุที่ผมให้มัสยิดแห่งนี้ว่า เป็นมัสยิดทองคำ ก็เนื่องจากว่า มัสยิดแห่งนี้ ได้มีการนำเอาทองคำแท้จำนวนกว่าสามล้านแผ่น  มาทำเป็นโดมบนยอดของมัสยิด  แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของประเทศได้อย่างดีทีเดียวครับ  และนอกจากนี้แล้ว มัสยิดแห่งนี้ ยังได้นำเอาวัตถุต่างๆที่มีความสวยงามจากหลากหลายประเทศมาใช้ในการประดับตกแต่ง เพื่อเพิ่มความสวยงามและอลังการขึ้นอีก เช่น พรมสีทองจากเบลเยียม  ถ้าเรามองจากที่ไกลๆ เราจะมองเห็นอาคารสีฟ้าที่สวยงาม โดยมีโดมทองคำเป็นส่วนประกอบ และที่หน้ามัสยิด จะมีสระน้ำ และโดยรอบก็จะประดับไปด้วยดอกไม้นานาชนิด คล้ายกับทัชมาฮาลในอินเดียเลยละครับ

    เมื่อเข้าไปข้างในมัสยิด จะเห็นว่ามีห้องสวดมนต์ขนาดใหญ่ แบ่งเป็นสองห้อง แยกฝั่งชายและหญิง เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับคนที่ต้องการจะเข้ามาทำพิธีทางศาสนา  และชั้นบนสุด จะมีห้องละหมาดด้วย ส่วนรอบๆของมัสยิด จะประดับไปด้วยทองคำทั้งหมด ซึ่งกว่าจะมาเป็นมัสยิดที่ยิ่งใหญ่ และสวยงามขนาดนี้ ใช้ระยะเวลาการก่อสร้างถึง 7 ปีเลยทีเดียวนะครับ ส่วนผู้ออกแบบมัสยิดแห่งนี้ก็ไม่ใช่สถาปนิกธรรมดา แต่เป็นองค์สุลต่านโอมา อาลี ไซฟัสดินที่ 3 เป็นผู้ออกแบบเองเลยทีเดียว ซึ่งท่านถูกขนานนามว่า เป็นสถาปนิกสมัยใหม่อีกด้วย

    นี่คือข้อมูลของมัสยิดทองคำ หรืออาจจะเรียกได้ว่า เป็นทัชมาฮาลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครับ  ถ้าอ่านในสิ่งที่ผมเขียนและดูรูปภาพที่นำมาประกอบแล้ว ยังไม่จุใจ ผมขอแนะนำให้ไปเยี่ยมชมมัสยิดแห่งนี้ด้วยตาของท่านเองครับ จะได้เห็นถึงความสวยงามและยิ่งใหญ่ด้วยความรู้สึกของท่านจริงๆ และยังได้มีส่วนช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวในภูมิภาคที่เราอาศัยอยู่ด้วยนะครับ ถ้าบทความนี้  มีข้อผิดพลาดประการใด ผมก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ แล้วรอติดตามกันต่อไปครับว่า บทความหน้า ผมจะนำท่านผู้อ่าน ไปยังสถานที่ท่องเที่ยวแห่งไหนต่อไป


ขอบคุณข้อมูลจากบทความ

มัสยิดทองคำ วิจิตรตระการตา  สถาปัตยกรรมเด่นของศาสนาอิสลาม ,  สืบค้นข้อมูล.(ม.ม.ป.).สืบค้นเมื่อ 5 กันยายาน 2561,จาก:  http://gothailandgoasean.tourismthailand.org/th/มัสยิดทองคำ-วิจิตรตระการตา-สถาปัตยกรรมเด่นของศาสนาอิสลาม/


สืบค้นเมื่อ 5 กันยายน 2561,จาก:  https://www.iurban.in.th/design/jame-ars-hassanil-bolkiah-mosque/

สืบค้นเมื่อ 5 กันยายน 2561,จาก http://54048650.esy.es/index.php/2014-10-05-20-34-41/2014-10-09-17-02-46


วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ชเวดากอง มหาเจดีย์แห่งศรัทธา



ที่มาภาพ: https://www.planetworldwide.com/news/

       สวัสดีครับ ในบทความนี้ ผมจะกล่าวถึงหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ และเป็นสถานที่แห่งการรวมใจของชาวพุทธ  ตั้งอยู่ที่เมียนมา หรือประเทศพม่าที่เรารู้จักกันนั่นแหละครับ ซึ่งก็เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วครับว่า พม่า เป็นประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาพุทธเป็นจำนวนมาก  และถึงแม้ว่าพม่าจะเคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศตะวันตก เป็นประเทศที่ผ่านการทำรัฐประหารมาหลายต่อหลายครั้ง จนถึงขนาดต้องปิดประเทศ แต่สิ่งที่ไม่เคยเสื่อมคลายไปจากจิตใต้สำนึกของคนประเทศนี้ ก็คือ ความเคารพและศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยพลเมืองในประเทศพม่านั้น จะมีแนวปฏิบัติเดียวกันที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์เลยก็ว่าได้  ยกตัวอย่าง เช่น การถอดรองเท้าก่อนเข้าวัด หลายๆคนอาจจะคิดว่า ประเทศไทยเราก็ทำใช่มั้ยครับ แต่มันมีข้อแตกต่างอยู่ คือ ของพม่าเขาให้ถอดตั้งแต่ก่อนเข้ามาที่ประตูวัดเลย ไม่ใช่มาถอดไว้ตรงบันไดศาลาอย่างที่ประเทศไทยเราปฏิบัติกันอยู่นะครับ  หรือแม้กระทั่งการแต่งตัวของผู้หญิง ที่มีความรัดกุม และสุภาพอย่างมาก เพื่อแสดงให้เห็นว่า เขามีความเคารพและศรัทธากับพระพุทธศาสนามากเพียงใด

      เริ่มต้นมาซะยาวแล้ว ทีนี้ผมจะเข้าเรื่องเลยนะครับ  นอกจากการปฏิบัติที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของพม่า ที่แสดงให้เราเห็นว่า เขาเป็นเมืองพุท,ธอย่างแท้จริง นั่นก็คือ มหาเจดีย์ชเวดากอง ที่เราจะพูดถึงในบทความนี่ละครับ


ที่มาภาพ : https://www.tripadvisor.ru/LocationPhotoDirectLink-g294191-d1985342-i70585455-
Shwedagon_Pagoda-Yangon_Rangoon_Yangon_Region.html

      "ชเว" แปลว่า ทองคำ ส่วนคำว่า "ดากอง" เป็นชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้งในปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์แห่งนี้ ดังนั้น เราจึงอาจจะเรียกเจดีย์นี้ได้ว่า "เจดีย์แห่งทองคำ"  สาเหตุที่เรียกว่าเจดีย์ทองคำ ก็เนื่องจากที่องค์พระเจดีย์นั้น มีทองคำล้อมรอบ และยังมีเพชรและอัญมณีต่างๆประดับอยู่ด้านบน  ทำให้สามารถมองเห็นได้จากทุกมุมเมือง  เนื่องจากองค์พระเจดีย์ที่มีความสูง 48 เมตร และความกว้างโดยประมาณ 105 เมตร  ส่วนที่ตั้งของภูมิศาสตร์ขององค์เจดีย์นั้น ก็ตั้งอยู่บนเนินเขา และไม่มีอาคารอะไรมาบดบังความสวยงามของอัญมณีที่ประดับอยู่โดยรอบ โดยภาพรวมแล้ว จึงทำให้เจดีย์ชเวดากอง เป็นเจดีย์ที่ดูเด่นเป็นสง่าของเมืองย่างกุ้ง และของประเทศพม่าเลยละครับ


      ส่วนความเป็นมา หรือประวัติของเจดีย์องค์นี้ ผมจะกล่าวโดยคร่าวๆนะครับ ตามตำนานเล่าว่า มีพ่อค้ามอญสองคน ชื่อ ปุสสะและภัลลิกะ ซึ่งมีความเลื่อมใสและศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า หลังจากที่ได้ไปถวายตัวเป็นปฐมอุบาสกแล้ว ก่อนจะจากมา จึงได้ขอพระราชทานสิ่งที่ตนจะนำไปบูชาแทนองค์พระพุทธเจ้า  พระองค์จึงได้ประทานพระเกษาธาตุ ทั้งหมด 8 เส้น ให้แก่ชาวมอญทั้งสอง หลังจากที่มอญทั้งสองเดินทางกลับมาถึงเมืองตะเกิง (ย่างกุ้งในปัจจุบัน) ก็ได้สร้างเจดีย์ขึ้น และนำเอาพระเกษาธาตุไปบรรจุไว้ในเจดีย์ เพื่อให้คนได้กราบไหว้มาจนถึงทุกวันนี้


ที่มาภาพ: http://www.paperplanesblog.com/visiting-shwedagon-pagoda/

     สำหรับเวลาที่เปิดให้เข้าชมและกราบไหว้องค์เจดีย์ เปิดตั้งแต่เวลา 04.00 น. จนถึง 21.00 น. สาเหตุที่เปิดให้เข้าชมเวลานี้ ก็เพื่อให้ผู้ที่เข้าไปนมัสการองค์เจดีย์ ได้เห็นแสงแรกที่ส่องมาจากทางตะวันออก และเห็นแสงสุดท้าย ที่ส่องมากระทบทองคำและอัญมณีที่อยู่ล้อมรอบองค์เจดีย์นั่นเองครับ  สำหรับการปฏิบัติตนเมื่อจะเข้าไปกราบไหว้ ก็คือ ต้องถอดรองเท้า และนำเอารองเท้าใส่ไว้ในถุงพลาสติกที่ทางวัดเตรียมไว้ให้ครับ หากท่านไม่ปฏิบัติตาม ก็จะมีเด็กพม่าวิ่งอยู่โดยรอบ เพื่อทักท้วงท่าน และบอกให้ทำตามในสิ่งที่เขาเคยปฏิบัติต่อๆกันมาครับ


     นี่คือการแนะนำอีก 1 สถานที่ท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายไม่ควรพลาดครับ และหากท่านเป็นชาวพุทธด้วยแล้ว ครั้งหนึ่งในชีวิต ก็ต้องหาโอกาสไปนมัสการองค์เจดีย์และเยี่ยมชมความสวยงามตระการตาขององค์เจดีย์ให้ได้ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนครับ



ขอบคุณข้อมูลจาก: 

http://www.tripdeedee.com/traveldata/myanmar/myanmar05.php
https://amazingthaisea.com/
http://gothailandgoasean.tourismthailand.org/th/


ค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2561 จากบทความ , เรื่องเล่าจากพระมหาเจดีย์ชเวดากอง แห่งเมียนมา

วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2561

รู้จักกับผู้เขียน

Southeast asia Travel  บล็อคนี้ มีไว้สำหรับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะ รวมไปถึงการให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสถานที่นั้นๆ แต่ก่อนจะไปสู่เรื่องราวที่น่าตื่นตาตื่นใจ และเห็นความยิ่งใหญ่ของศิลปะของความยิ่งใหญ่ในที่ต่างๆนั้น ก่อนอื่น มารู้จักกับตัวผู้เขียนก่อนเลยครับ

ชื่อ อัครเดช โคตนายูง ปัจจุบันเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นครับ โดยส่วนตัวแล้วชอบเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เพราะเป็นต้นกำเนิดของหลายๆสิ่งในปัจจุบัน และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา ก็เป็นอีกภูมิภาคที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน มีความหลากหลายทางด้านศิลปะและโบราณคดีอีกด้วย  ซึ่งหลายคนอาจจะไม่เคยรู้ หรือไม่ได้สนใจที่จะศึกษาอย่างจริงจังเกี่ยวกับสิ่งต่างๆเหล่านั้น มันทำให้บางอย่าง ถูกกาลเวลากลืนกินจนหายไปในที่สุด ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้ตัดสินใจที่จะสร้างบล็อคนี้ขึ้น เพื่อถ่ายทอดสิ่งต่างๆที่ได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง หรือได้เรียนรู้จากอาจารย์ที่ถ่ายทอดให้ โดยหวังว่า ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะสามารถนำเอาความรู้ในบล็อคนี้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือถ่ายทอดต่อก็ได้ 
โดยเนื้อหาที่จะนำมาถ่ายทอด จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง มีหลักฐานประกอบ หรือมีงานวิจัยจากนักวิชาการมาอ้างอิงประกอบ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และมั่นใจได้ว่าผู้อ่านทุกท่าน จะได้รับความรู้ที่เป็นทางการ และสามารถยอมรับได้ในวงกว้างของนักโบราณคดี หรือนักวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับด้านนี้โดยเฉพาะ

ท้ายนี้ ฝากติดตาม และแชร์ต่อด้วยนะครับ