เป็นบล็อคที่รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงการให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เชิงลึกของสถานที่นั้นๆ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยว หรือผู้ที่มีความสนใจในประวัติศาสตร์ศิลปะโบราณคดีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครับ
วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
อีสาน เทพเจ้าประจำทิสตะวันออกเฉียงเหนือ
สวัสดีผู้ที่มีความสนใจเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผู้ที่มีโอกาสได้อ่านบทความนี้นะครับ ปกติแล้ว ผมสร้างบล็อคนี้ขึ้น เพื่อที่จะนำเสนอเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น แต่ผมคิดว่า การที่จะรู้จักสถานที่ท่องเที่ยว แต่ไม่รู้จักเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ หรือประเพณีต่างๆนั้น ถือว่าองค์ความรู้ที่จะนำติดตัวไปใช้ในการท่องเที่ยวในสถานที่ที่ผมได้แนะนำไป มันจะยังมีไม่เพียงพอ ดังนั้น วันนี้ผมจึงได้ตั้งใจเขียนบทความนี้ขึ้น เพื่อที่จะนำเสนอเกี่ยวกับประวัติและความเป็นมาของเทพเจ้า และเทพเจ้าที่มีบทบาทและมีอิทธิพลกับชีวิต รวมไปถึงการมีบทบาทในศาสนานั้น ก็หนีไม่พ้นตำนานเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งเป็นตำนานที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน จนไม่สามารถที่จะแยกออกจากศาสนาพุธได้เลยครับ
เทพเจ้าที่เรารู้จักกันอยู่แล้ว จะมีเทพหลักๆอยู่ 3 องค์ คือ พระพรหม ผู้สร้าง พระนารายณ์ ผู้รักษา และพระอิศวร คือผู้ทำลาย ซึ่งรวมสามพระองค์นี้เรียกว่า ตรีมูรติ แต่อย่างไรก็ตาม ตามตำนานของศาสนาพราหมณ์ก็ยังมีเทพเจ้าอีกหลายพระองค์ ที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต รวมไปถึงมีผลต่อวัฒนธรรมต่างๆด้วยครับ และในบทความนี้ จะขอกล่าวถึง เทพเจ้าที่มีหน้าที่รักษาและดูแลความเรียบร้อยในแต่ละทิศ ซึ่งถ้าจะแบ่งเป็นทิศหลักๆ ก็จะมีอยู่ทั้งหมด 4 ทิศ คือ ท้าวทตรดถ์ ผู้รักษาทิสตะวันออก บางตำนานกล่าวว่า เป็นพระอินทร์ ท้าววิรุณหค รักษาทางด้านทิศใต้ ท้าววิรูปักษ์ ผู้เป็นใหญ่ทางด้านทิศใต้ และท้าวกุเวน หรือท้าวเวสสุวัณ ผู้เป็นใหญ่ทางด้านทิศเหนือ รวมที่ 4 องค์นี้ เรียกว่า จตุโลกบาล แต่นอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีเทพแยกย่อยออกมาอีก เป็นเทพประจำทิศต่างๆ รวมได้ทั้งสิ้น 8 ทิศ ซึ่งถ้าจะกล่าวกันให้หมดในบทความนี้ ผมมีความเห็นว่า มันอาจจะยาวเกินไป ในบทความนี้ ผมจึงจะกล่าวถึงเทพประจำทิศตะวันออกเฉียงเหนือก่อนเป็นอันดับแรก นั่นคือ เทพอีสาน
เทพอีสาน หรือ เทพเอสาน เป็นเทพเจ้าที่มีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย รวมไปถึงความอยู่เย็นเป็นสุขของมวลมนุษย์ บางตำนานก็กล่าวกันว่า คำว่า อีสาน เพี้ยนมาจาก อิศวร ที่เรารู้จักกันดี และบางตำนานก็กล่าวกันว่า เทพอีสาน คือ สุริยะเทพ ผู้มีหน้าที่ปกปักรักษาและดูแลทิศตะวันออกเฉียงเหนือเช่นกัน แต่เนื่องจากตำนานของพระอิศวรนั้น ผู้เขียนอาจจะได้นำเสนอในบทความต่อๆไป เพราะเป็นตำนานที่ซับซ้อน และยืดยาวมาก ในบทความนี้ จะพูดถึง พระสุริยะเทพ หรืออาจจะเรียกได้ว่า เป็นพระอีสาน หรือพระเอสานก่อนนะครับ
สุริยะเทพ ตามที่เรารู้จักกันดี ก็คือ เทพที่ทำหน้าที่ส่องแสงสว่างให้กับโลก โดยตำนานในคัมภีร์พระเวทย์กล่าวไว้ว่า พระองค์มีความยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับตรีมูรติ หรือพูดง่ายๆก็คือ สุริยะเทพองค์เดียว เทียบได้กับพระพรหม พระนารายณ์ และพระอิศวรรวมกันเลยละครับ กล่าวกันว่า พระองค์จะทรงรถออกมาหน้าทำหน้าที่ในเวลาเช้า โดยมีวารุณา 7 องค์ ช่วยขับม้าทั้ง 7 ตัวเพื่อลากรถของพระสุริยะเทพ โดยวารุณานี้ มียศศักดิ์เป็นถึงน้องพญาครุฑเลยครับ ส่วนชายาของพระสุริยะเทพนี้ ในตำนานกล่าวไว้ว่า คือพระแม่อุษา เป็นตัวแทนของตอนกลางคืน โดยพระนางจะแต่งองค์ด้วยเครื่องประดับมากมาย กล่าวกันว่า ดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า เปรียบได้กับเครื่องประดับของพระนางอุษาครับ และพระองค์ก็มีชายาอีกองค์ คือ พระแม่คงคา แต่พระแม่คงคาไม่สามารถทนทานต่อความร้อนของพระสุริยะเทพได้ จึงหนีไปอยู่ในแม่น้ำตามเดิมสำหรับตำนานของพระสุริยะเทพนี้มีข้อมูลเยอะมาก จึงไม่สามารถกล่าวได้ทั้งหมดนะครับ แต่อย่างไรก็ตาม คนก็มีความนับถือพระสุริยะเทพ จนนำไปสร้างเป็นสถาปัตยกรรมและสร้างในศิลปะต่างๆตามศาสนสถาน และเคารพกราบไหว้บูชา ถือว่าพระองค์มีอิทธิพลในด้านสิตใจของคนที่นับถือศาสนาพราหมณ์มากครับ
สำหรับศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพระสุริยะเทพนั้น ส่วนใหญ่จะพบมากในภาคใต้ของไทย โดยมีส่วนผสมผสานระหว่างศิลปะชะวากับศิลปะปาละ ซึ่งจะเห็นได้ว่า อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์นั้น เข้ามามีบทบาทในศาสนาพุธ แม้กระทั่งในเรื่องของศิลปะเลยทีเดียว และอีกตัวอย่างหนึ่งของงานศิลปะที่เกี่ยวข้อง ก็คือ ปฏิมากรรมฐานพระธรรมจักรของศิลปะทวารวดีตอนต้น ซึ่งหากสังเกตจะเห็นว่า มีเทพองค์หนึ่งอยู่ที่ฐานของพระธรรมจักร ก่อนหน้านี้เคยมีการถกเถียงกันในแวดวงของนักวิชาการว่า เทพองค์นี้ คือใครกันแน่ แต่ในปัจจุบัน ก็เป็นที่ยอมรับแล้วว่า เทพองค์นั้นคือ พระสุริยะเทพนั่นเองครับ และนอกจากงานศิลปะที่ยกมาทั้งสองอย่างนี้ ก็ยังมีงานศิลปะอีกหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับสุริยะเทพ แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ในอดีต มีการนับถือเทพเจ้า และบูชาเทพเจ้ากันอย่างแพร่หลาย สำหรับบทความนี้ ก็ขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ หากใครที่เชื่อเกี่ยวกับเรื่องเทพเจ้าอยู่แล้ว ก็ให้พิจารณาและเชื่อตามความเหมาะสม หากใครไม่เชื่อในตำนานเหล่านี้ ก็ขอให้อ่านไปเพื่อความเพลิดเพลิน และเก็บเป็นความรู้เสริมในเรื่องศิลปะหรือสถาปัตยกรรมต่างๆ และขอขอบคุณอีกครั้ง ที่ติดตามอ่านจนจบครับ
อ้างอิง:
สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2561 จากเว็บไซต์: https://siamrath.co.th/n/13191?fbclid=IwAR2qXwXdKh_Go6PoEkcPpJ3BIkNcoU7qmqoRucXZx7fx5CLXQ1MIa7SAxSw
สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2561 จากเว็บไซต์: http://www.thamnaai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=573413&Ntype=1
สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2561 จากเว็บไซต์: http://2265506004.blogspot.com/
ป้ายกำกับ:
ความเชื่อออ,
เทพเจ้า,
ศาสนาพราหมณ์,
ศิลปะ,
อินเดีย
วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561
หอพระแก้ว สถานที่ที่ควรสักการะประจำประเทศลาว
![]() |
ที่มาภาพ : https://laoshandicraft.com/wp-content/uploads/2016/12/wat-ho-phra-keo.jpg |
สวัสดีครับ กลับมาเจอกันอีกแล้วนะครับ สำหรับบล็อคที่จะพาทุกท่านที่สนใจเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปรับรู้ช้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศต่างๆของสมาชิกอาเซียน แล้วท่านอาจจะไม่ต้องเสียเงินไปเที่ยวแถบยุโรปเลยก็ได้ เพราะในเอเชียของเรา ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และสวยงามอยู่หลายที่ครับ ส่วนบทความนี้ ผมจะพาท่านไปเยี่ยมชมหอพระแก้ว ซึ่งอยู่ในประเทศลาว ซึ่งหอพระแก้วแห่งนี้ จะมีความสำคัญยังไง และน่าท่องเที่ยวขนาดไหน ตามผมมาเลยครับ
สาเหตุที่เรียกว่า หอพระแก้ว นั้น ก็เพราะเคยเป็นสถานที่ประดิษฐานขององค์พระแก้วมรกตนั่นเองครับ ซึ่งพระแก้วมรกต หรือที่เรียกชื่อเต็มๆว่า พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร นั้น ได้มีการค้นพบที่จังหวัดเชียงราย และได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานที่นครเชียงใหม่ ต่อมา พระเจ้าชัยเชษฐาธิราชเจ้า ทรงมีพระประสงค์ให้สร้างหอพระแก้วขึ้นที่ประเทศลาว เพื่อใช้เป็นหอประดิษฐานของพระแก้วมรกต ที่พระองค์ทรงอัญเชิญจากนครเชียงใหม่ หลังจากที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ต่อจากพรเจ้าโพธิสาล ผู้เป็นบิดาได้เสียชีวิตจากการที่อาณาจักรลาวทำสงครามกับสยามในปี พ.ศ. 2322
![]() |
ที่มาภาพ : https://cuulongtravel.com.vn/wp-content/uploads/2015/11/VC4.jpg |
ต่อมา นครเวียงจันทร์ได้ทำสงครามกับสยาม และถูกสยามตีแตก สยาม ได้อัญเชิญพระแก้วมรกต ซึ่งถือเป็นพระพุธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของนครเวียงจันทร์กลับไปที่สยาม รวมไปถึงการกวาดต้อนคนที่อาศัยอยู่ให้ไปอยู่ที่สยามอีกด้วย สำหรับหอพระแก้วที่ยังมีให้เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นหอพระแก้วที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่เกือบทั้งหมด ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน หอพระแก้วจะไม่ได้เป็นวัดเหมือนครั้งในอดีต แต่ก็ยังคงมีผู้คนไปกราบไหว้อย่างไม่ขาดสาย
ภายในบริเวณหอพระแก้ว เป็นสถานที่ที่มีความเงียบสงบ มีการจัดแสดงภาษาขอม และกลองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ของราชวงศ์ลาว นอกจากนี้ ยังมีบานประตูใหญ่ที่สลักเป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยประตูทั้งสองบานนี้ เป็นสิ่งที่เหลืออยู่มาแต่เดิม นอกจากจะเคยเป็นที่ประดิษฐานองค์พระแก้วมรกตแล้ว สถานที่แห่งนี้ ยังเคยเป็นที่ฝรั่งเศสใช้เป็นฐานบัญชาการ เมื่อครั้งที่ลาวตกเป็นอาณานิคมอีกด้วย
สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2561 จากเว็บไซต์: https://travel.mthai.com ›
สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2561 จากเว็บไซต์: laos-travel.blogspot.com/2013/07/blog-post_13.html
สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2561 จากเว็บไซต์: www.dooasia.com/trips/detail.php?id=241
วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2561
กลุ่มวัด ปรัมบานัน มรดกโลกของประเทศอินโดนีเซีย
![]() |
ที่มาภาพ : http://www.saulbellow.org/wp-content/uploads/2016/07/วัดพรัมบานัน7-005.jpg |
สวัสดีครับ กลับมาเจอกันอีกเช่นเคย กับบล็อคนำเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่เราอาศัยอยู่กัน แต่บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวแห่งไหนที่น่าสนใจบ้าง blogger สมัครเล่นคนนี้ ก็จะได้นำมาแนะนำให้รู้จักกันครับ
สามบทความที่แล้ว ผมได้พาไปเยี่ยมชมเกี่ยวกับเจดีย์ของศาสนาพุธ มัสยิดของศาสนาอิสลาม รวมไปถึงกลุ่มโปรสาทโบราณมาแล้ว มาครั้งนี้ เราจะมาแนะนำวัดอีกเช่นเคย แต่ไม่ใช่วัดที่เกี่ยวกับศาสนาพุธโดยตรงนะครับ เพราะกลุ่มวัดที่จะพาไปเยี่ยมชมครั้งนี้ เป็นวัดที่มีความเป็นมาอย่างยาวนาน ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกเลยทีเดียวครับ ว่าแล้วก็ตามไปชมกันเลย
กลุ่มวัดที่ผมพูดถึงตั้งแต่ต้นก็คือ กลุ่มวัดของประเทศอินโดนีเซีย หรือที่เรียกกันว่า กลุ่มวัดปรัมบานัน นั่นเองครับ โดยวัดนี้ มีที่ตั้งอยู่แถบชวากลาง ห่างออกไปจากเมืองจากาตาร์ไปทางตะวันออกเพียง 18 กิโลเมตร กลุ่มปราสาทหินปรัมบานัน หรือกลุ่มวัดปรัมบานัน มีความสำคัญและยิ่งใหญ่ไม่ต่างจากบูโรพุธโทเลยทีเดียวครับ โดยความยิ่งใหญ่ของกลุ่มวัดปรัมบานันก็คือ เป็นเทวสถานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไสวนิกายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยครับ
โดยเชื่อกันว่า เทวาลัยองค์ใหญ่ทั้งสามหลังนั้น สร้างขึ้นเพื่อถวานแด่เทพเจ้าทั้งสามของศาสนาพราหมณ์ คือ เพื่อบูชา พระพรหม เป็นวิหารที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ เพื่อบูชาพระนารายณ์ เป็นวิหารที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ และเทวาลัยองค์กลาง ที่มีความสูงที่สุดถึง 48 เมตร เชื่อว่าเป็นการสร้างขึ้นเพื่อบูชาพระอิศวร โดยกลุ่มเทวาลัยหลักๆทั้งสามองค์นี้ จะหันหน้าออกไปทางทิศตะวันออก นอกจากนี้แล้ว ยังมีเทวาลัยองค์ขนาดย่อมๆ อยู่ตรงกันข้ามกับเทวาลัยทั้งสามองค์นี้ เชื่อกันว่า เป็นเทวาลัยที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่สัตว์พาหนะของเทพเจ้าทั้งสามองค์นี้ด้วยครับ
นอกจากความยิ่งใหญ่ของเทวาลัยที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีลวดลายการแกะสลักอันวิจิตรงดงาม เกี่ยวกับเรื่องราวของรามเกียรติ์ ซึ่งเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของเทพเจ้าทั้งสามองค์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ ยังคงเหลือเทวาลัยหลังเล็กให้ดูน้อยลง เนื่องจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวแถบเกาะชวา ทำให้ศิลปะอันงดงามเหล่านี้ต้องเสียหายไปด้วย กลุ่มปราสาทปรัมบานัน ได้ถูกพิจารณาให้เป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2534 และเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยก็ว่าได้ครับ
![]() |
ที่มาภาพ : http://photo.sorotmedianusantara.com/sleman/2018-03/717_pelaksanaan_prosesi_mendhak_ti_20180316171239.jpg |
เป็นยังไงกันบ้างครับ จากการแนะนำเรื่องราวย่อๆของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ สำหรับใครที่ชอบการ่องเที่ยวเพื่อศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ หรือเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องของศาสนา ก็สามารถไปเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ได้นะครับ ส่วนบทความต่อไป ผมจะพาท่านไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวแห่งไหนนั้น อย่าลืมติดตามกันนะครับ ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชม หากถูกใจก็ฝากแชร์ด้วยนะครับ หรือหากมีข้อผิดพลาดประการใด ก็ขออภัย ไว้ ณ ที่นี้เลยก็แล้วกันนะครับ
สืบค้นข้อมูลเมื่อ 8 ตุลาคม 2561 จาก: https://travel.mthai.com/blog/73785.html
http://gothailandgoasean.tourismthailand.org/th/ท่องไปในดินแดนชวา-เยือนจันดีราราจงกรัง-“-ปรับบานัน”-อาณาจักรแห่งทวยเทพ/
http://aseannotes.blogspot.com/2014/07/2_13.html
ป้ายกำกับ:
ท่องเที่ยว,
เทวสถาน,
พราหมณ์,
ศาสนา,
อินโดนีเซีย
วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561
อาณาจักรพยู มรดกโลกแห่งแรกของพม่า
![]() |
ที่มาภาพ : https://travel.mthai.com/world-travel/87302.html |
ประเทศพม่า หรือ เมียนมา ที่เรารู้จักนั้น นอกจากจะเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความหลากหลายของกลุ่มคน และเป็นประเทศที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมากแล้วนั้น ยังเป็นประเทศที่มีอดีตที่ยาวนาน และเคยเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาก่อน ซึ่งในครั้งนี้ ผมจะพาไปสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ในอดีตของอาณาจักรแห่งนี้ นั่นคือ อาณาจักรพยู ซึ่งปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งแรกของพม่าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเองครับ
![]() |
ที่มาภาพ : https://travel.mthai.com/world-travel/87302.html |
หลายๆคนอาจจะสงสัยตั้งแต่แรกว่า พยู คือใคร ผมจะขออธิบายคร่าวๆนะครับ ไม่ได้ลงข้อมูลในเชิงลึก เพราะเกรงว่าทุกท่านจะเบื่อเสียก่อน พยู คือกลุ่มคนที่เข้ามาอาศัยในพื้นที่แห่งนี้ก่อนคนพม่า หรือบางตำราอาจจะกล่าวไว้ว่า คนพยู ก็เป็นคนที่นี่อยู่แล้ว แต่ภายหลังมาเปลี่ยนชื่อเรียกตัวเองใหม่ เป็น พม่า นั่นเองครับ โดยอาชีพหลักๆของคนพยู ก็คือการทำเกษตรกรรม เพราะในพื้นที่ที่คนพยูอาศัยอยู่นั้น อยู่แถบริมฝั่งแม่น้ำอิรวดี ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำสายใหญ่ของพม่าเลยทีเดียว
และเมื่อความเจริญรุ่งเรืองของคนพยู ไม่หยุดอยู่แค่การตั้งรกรากถิ่นฐานและการทำเกษตร เขาได้รวมตัวกัน และจัดตั้งอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งขึ้น นั่นคือ อาณาจักรศรีเกษตร ก่อตั้งขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 14 ซึ่งอาณาจักรแห่งนี้ มีพื้นที่กว้างขวาง และยังได้รับวัฒนธรรมด้านต่างๆมาจากอินเดีย ทั้งด้านภาษา และด้านศาสนาครับ ซึ่งตรงนี้แหละครับ ทำให้ผมตั้งข้อสังเกตได้ว่า สาเหตุที่คนพม่าในปัจจุบัน มีความเลื่อมใสและศรัทธาในพระพุธศาสนา อาจจะเป็นเพราะว่า เคยได้รับอิทธิพลเหล่านี้มาจากอินเดียก็ได้นะครับ
และด้วยความยิ่งใหญ่และเก่าแก่ของอาณาจักรศรีเกษตรนี่เองครับ ที่ทำให้เมืองใกล้เคียงกับอาณาจักรศรีเกษตรอย่างเมืองเบคถาโนและเมืองคาลิน ได้ถูกรวมเข้ามาเป็นกลุ่มอาณาจักรเดียวกัน โดยมีชื่อเรียกว่า "อาณาจักรโบราณพยู" แต่ถ้าจะไปดูความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเหล่านี้ ในปัจจุบันคงมีแต่ร่องรอยและซากปรักหักพังของอาณาจักร เช่น ซากเก่าของพระพุธรูป และเจดีย์ต่างๆ ทิ้งไว้ให้เราได้ชื่นชม และซึมซับเอาความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเหล่านี้ จากมโนภาพของท่านเองครับ
ในปัจจุบัน กลุ่มอาณาจักรโบราณพยู ได้ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกแห่งแรกของพม่า จาก Unesco ในปี พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา นั่นสื่อให้เห็นว่า ต่อไปนี้ อาณาจักรโบราณที่เคยเป็นสมบัติของพม่า ก็คือสมบัติของคนทั้งโลก ที่จะต้องช่วยกันดูแลรักษา เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์เหล่านี้ต่อไป สำหรับบทความนี้ ผมขอจบไว้เพียงแค่นี้นะครับ แล้วอย่าลืมติดตามต่อบทความหน้า ว่าผมจะพาทุกท่าน ไปเยี่ยมชมอาณาจักรโบราณ หรือสถานที่ท่องเที่ยวแห่งไหนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรานะครับ
อ้างอิงข้อมูลจาก http://gothailandgoasean.tourismthailand.org/th/เที่ยวเมืองโบราณอาณาจักรพยู-มรดกโลกแห่งแรกของพม่า/ สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2561
อ้างอิงข้อมูลจาก https://travel.mthai.com/world-travel/87302.html สืบค้นเมื่อ 21 กันยายน 2561
อ้างอิงข้อมูลจาก https://aseanworldtravel11.blogspot.com/2017/10/blog-post.html สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2561
![]() |
ภาพถ่ายแสดงเขตกำแพงเมืองโบราณศรีเกษตร ที่มาภาพ : https://travel.mthai.com/world-travel/87302.html |
![]() |
ที่มาภาพ : https://travel.mthai.com/world-travel/87302.html |
และด้วยความยิ่งใหญ่และเก่าแก่ของอาณาจักรศรีเกษตรนี่เองครับ ที่ทำให้เมืองใกล้เคียงกับอาณาจักรศรีเกษตรอย่างเมืองเบคถาโนและเมืองคาลิน ได้ถูกรวมเข้ามาเป็นกลุ่มอาณาจักรเดียวกัน โดยมีชื่อเรียกว่า "อาณาจักรโบราณพยู" แต่ถ้าจะไปดูความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเหล่านี้ ในปัจจุบันคงมีแต่ร่องรอยและซากปรักหักพังของอาณาจักร เช่น ซากเก่าของพระพุธรูป และเจดีย์ต่างๆ ทิ้งไว้ให้เราได้ชื่นชม และซึมซับเอาความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเหล่านี้ จากมโนภาพของท่านเองครับ
![]() |
ที่มาภาพ : https://travel.mthai.com/world-travel/87302.html |
ในปัจจุบัน กลุ่มอาณาจักรโบราณพยู ได้ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกแห่งแรกของพม่า จาก Unesco ในปี พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา นั่นสื่อให้เห็นว่า ต่อไปนี้ อาณาจักรโบราณที่เคยเป็นสมบัติของพม่า ก็คือสมบัติของคนทั้งโลก ที่จะต้องช่วยกันดูแลรักษา เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์เหล่านี้ต่อไป สำหรับบทความนี้ ผมขอจบไว้เพียงแค่นี้นะครับ แล้วอย่าลืมติดตามต่อบทความหน้า ว่าผมจะพาทุกท่าน ไปเยี่ยมชมอาณาจักรโบราณ หรือสถานที่ท่องเที่ยวแห่งไหนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรานะครับ
อ้างอิงข้อมูลจาก http://gothailandgoasean.tourismthailand.org/th/เที่ยวเมืองโบราณอาณาจักรพยู-มรดกโลกแห่งแรกของพม่า/ สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2561
อ้างอิงข้อมูลจาก https://travel.mthai.com/world-travel/87302.html สืบค้นเมื่อ 21 กันยายน 2561
อ้างอิงข้อมูลจาก https://aseanworldtravel11.blogspot.com/2017/10/blog-post.html สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2561
วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2561
มัสยิดทองคำ ทัชมาฮาลแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
![]() |
ที่มาภาพ : https://photos.travelblog.org/Photos/176554/651176/f/6459224-Jame_Asr_Hassanil_Bolkiah_Mosque-0.jpg |
แต่เดี๋ยวก่อน... ผมไม่ได้จะนำเอาบทความที่เคยเขียนก่อนหน้านี้มา replay ซ้ำหรอกนะครับ เพราะในครั้งนี้ ผมจะนำพาท่านผู้อ่านเข้าไปสัมผัสความอลังการของมัสยิดทองคำ ซึ่งทุกคนก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วนะครับว่า มัสยิด เป็นศาสนสถานสำคัญของศาสนาอิสลาม จะให้เข้าใจง่ายๆหน่อย ก็เหมือนวัดในพระพุทธศาสนาเรานี่ละครับ เกริ่นนำมายืดเยื้อแล้ว เราไปทำความรู้จักกับมัสยิดทองคำกันเลยครับว่า จะยิ่งใหญ่อลังการ และน่าตื่นตาตื่นใจเพียงไหน พร้อมแล้วก็ตามมาเลยครับ
![]() |
แผนที่ประเทศบรูไน ที่มาภาพ : http://gothailandgoasean.tourismthailand.org/wp-content/uploads/2017/01/word-image-555.jpeg |
บรูไนดารุสซาลาม เป็นประเทศหมู่เกาะ ที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเกาะบอร์เนียว ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่อันดับ 3 ของโลก และเป็นหนึ่งในสมาชิกอาเซียน ถือเป็นที่มั่งคั่งในด้านทรัพยากร โดยเฉพาะน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ทำให้เศรษฐกิจของบรูไนรุ่งเรือง แต่นอกจากจะมีความโดดเด่นในด้านเศรษฐกิจแล้ว ในด้านการท่องเที่ยว ประเทศแห่งนี้ก็มีดีไม่แพ้ประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย โดยในบทความนี้ เราจะกล่าวถึงมัสยิดทองคำ ซึ่งเป็นมัสยิดประจำตัวของสุลต่าน เจมส์ อาร์ อัสซานัส โบลเกียร์ ซึ่งถือเป็นศาสนสถานที่สำคัญในศาสนาอิสลามอีกแห่งเลยทีเดียว
![]() |
ที่มาภาพ : https://www.gourmetandcuisine.com/Images/editor_upload/_editor20171128024451_original.jpg |
สาเหตุที่ผมให้มัสยิดแห่งนี้ว่า เป็นมัสยิดทองคำ ก็เนื่องจากว่า มัสยิดแห่งนี้ ได้มีการนำเอาทองคำแท้จำนวนกว่าสามล้านแผ่น มาทำเป็นโดมบนยอดของมัสยิด แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของประเทศได้อย่างดีทีเดียวครับ และนอกจากนี้แล้ว มัสยิดแห่งนี้ ยังได้นำเอาวัตถุต่างๆที่มีความสวยงามจากหลากหลายประเทศมาใช้ในการประดับตกแต่ง เพื่อเพิ่มความสวยงามและอลังการขึ้นอีก เช่น พรมสีทองจากเบลเยียม ถ้าเรามองจากที่ไกลๆ เราจะมองเห็นอาคารสีฟ้าที่สวยงาม โดยมีโดมทองคำเป็นส่วนประกอบ และที่หน้ามัสยิด จะมีสระน้ำ และโดยรอบก็จะประดับไปด้วยดอกไม้นานาชนิด คล้ายกับทัชมาฮาลในอินเดียเลยละครับ
เมื่อเข้าไปข้างในมัสยิด จะเห็นว่ามีห้องสวดมนต์ขนาดใหญ่ แบ่งเป็นสองห้อง แยกฝั่งชายและหญิง เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับคนที่ต้องการจะเข้ามาทำพิธีทางศาสนา และชั้นบนสุด จะมีห้องละหมาดด้วย ส่วนรอบๆของมัสยิด จะประดับไปด้วยทองคำทั้งหมด ซึ่งกว่าจะมาเป็นมัสยิดที่ยิ่งใหญ่ และสวยงามขนาดนี้ ใช้ระยะเวลาการก่อสร้างถึง 7 ปีเลยทีเดียวนะครับ ส่วนผู้ออกแบบมัสยิดแห่งนี้ก็ไม่ใช่สถาปนิกธรรมดา แต่เป็นองค์สุลต่านโอมา อาลี ไซฟัสดินที่ 3 เป็นผู้ออกแบบเองเลยทีเดียว ซึ่งท่านถูกขนานนามว่า เป็นสถาปนิกสมัยใหม่อีกด้วย
นี่คือข้อมูลของมัสยิดทองคำ หรืออาจจะเรียกได้ว่า เป็นทัชมาฮาลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครับ ถ้าอ่านในสิ่งที่ผมเขียนและดูรูปภาพที่นำมาประกอบแล้ว ยังไม่จุใจ ผมขอแนะนำให้ไปเยี่ยมชมมัสยิดแห่งนี้ด้วยตาของท่านเองครับ จะได้เห็นถึงความสวยงามและยิ่งใหญ่ด้วยความรู้สึกของท่านจริงๆ และยังได้มีส่วนช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวในภูมิภาคที่เราอาศัยอยู่ด้วยนะครับ ถ้าบทความนี้ มีข้อผิดพลาดประการใด ผมก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ แล้วรอติดตามกันต่อไปครับว่า บทความหน้า ผมจะนำท่านผู้อ่าน ไปยังสถานที่ท่องเที่ยวแห่งไหนต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจากบทความ
มัสยิดทองคำ วิจิตรตระการตา สถาปัตยกรรมเด่นของศาสนาอิสลาม , สืบค้นข้อมูล.(ม.ม.ป.).สืบค้นเมื่อ 5 กันยายาน 2561,จาก: http://gothailandgoasean.tourismthailand.org/th/มัสยิดทองคำ-วิจิตรตระการตา-สถาปัตยกรรมเด่นของศาสนาอิสลาม/
มัสยิดทองคำ วิจิตรตระการตา สถาปัตยกรรมเด่นของศาสนาอิสลาม , สืบค้นข้อมูล.(ม.ม.ป.).สืบค้นเมื่อ 5 กันยายาน 2561,จาก: http://gothailandgoasean.tourismthailand.org/th/มัสยิดทองคำ-วิจิตรตระการตา-สถาปัตยกรรมเด่นของศาสนาอิสลาม/
สืบค้นเมื่อ 5 กันยายน 2561,จาก: https://www.iurban.in.th/design/jame-ars-hassanil-bolkiah-mosque/
สืบค้นเมื่อ 5 กันยายน 2561,จาก http://54048650.esy.es/index.php/2014-10-05-20-34-41/2014-10-09-17-02-46
วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2561
ชเวดากอง มหาเจดีย์แห่งศรัทธา
![]() |
ที่มาภาพ: https://www.planetworldwide.com/news/ |
สวัสดีครับ ในบทความนี้ ผมจะกล่าวถึงหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ และเป็นสถานที่แห่งการรวมใจของชาวพุทธ ตั้งอยู่ที่เมียนมา หรือประเทศพม่าที่เรารู้จักกันนั่นแหละครับ ซึ่งก็เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วครับว่า พม่า เป็นประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาพุทธเป็นจำนวนมาก และถึงแม้ว่าพม่าจะเคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศตะวันตก เป็นประเทศที่ผ่านการทำรัฐประหารมาหลายต่อหลายครั้ง จนถึงขนาดต้องปิดประเทศ แต่สิ่งที่ไม่เคยเสื่อมคลายไปจากจิตใต้สำนึกของคนประเทศนี้ ก็คือ ความเคารพและศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยพลเมืองในประเทศพม่านั้น จะมีแนวปฏิบัติเดียวกันที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์เลยก็ว่าได้ ยกตัวอย่าง เช่น การถอดรองเท้าก่อนเข้าวัด หลายๆคนอาจจะคิดว่า ประเทศไทยเราก็ทำใช่มั้ยครับ แต่มันมีข้อแตกต่างอยู่ คือ ของพม่าเขาให้ถอดตั้งแต่ก่อนเข้ามาที่ประตูวัดเลย ไม่ใช่มาถอดไว้ตรงบันไดศาลาอย่างที่ประเทศไทยเราปฏิบัติกันอยู่นะครับ หรือแม้กระทั่งการแต่งตัวของผู้หญิง ที่มีความรัดกุม และสุภาพอย่างมาก เพื่อแสดงให้เห็นว่า เขามีความเคารพและศรัทธากับพระพุทธศาสนามากเพียงใด
เริ่มต้นมาซะยาวแล้ว ทีนี้ผมจะเข้าเรื่องเลยนะครับ นอกจากการปฏิบัติที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของพม่า ที่แสดงให้เราเห็นว่า เขาเป็นเมืองพุท,ธอย่างแท้จริง นั่นก็คือ มหาเจดีย์ชเวดากอง ที่เราจะพูดถึงในบทความนี่ละครับ
![]() |
ที่มาภาพ : https://www.tripadvisor.ru/LocationPhotoDirectLink-g294191-d1985342-i70585455- Shwedagon_Pagoda-Yangon_Rangoon_Yangon_Region.html |
"ชเว" แปลว่า ทองคำ ส่วนคำว่า "ดากอง" เป็นชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้งในปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์แห่งนี้ ดังนั้น เราจึงอาจจะเรียกเจดีย์นี้ได้ว่า "เจดีย์แห่งทองคำ" สาเหตุที่เรียกว่าเจดีย์ทองคำ ก็เนื่องจากที่องค์พระเจดีย์นั้น มีทองคำล้อมรอบ และยังมีเพชรและอัญมณีต่างๆประดับอยู่ด้านบน ทำให้สามารถมองเห็นได้จากทุกมุมเมือง เนื่องจากองค์พระเจดีย์ที่มีความสูง 48 เมตร และความกว้างโดยประมาณ 105 เมตร ส่วนที่ตั้งของภูมิศาสตร์ขององค์เจดีย์นั้น ก็ตั้งอยู่บนเนินเขา และไม่มีอาคารอะไรมาบดบังความสวยงามของอัญมณีที่ประดับอยู่โดยรอบ โดยภาพรวมแล้ว จึงทำให้เจดีย์ชเวดากอง เป็นเจดีย์ที่ดูเด่นเป็นสง่าของเมืองย่างกุ้ง และของประเทศพม่าเลยละครับ
ส่วนความเป็นมา หรือประวัติของเจดีย์องค์นี้ ผมจะกล่าวโดยคร่าวๆนะครับ ตามตำนานเล่าว่า มีพ่อค้ามอญสองคน ชื่อ ปุสสะและภัลลิกะ ซึ่งมีความเลื่อมใสและศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า หลังจากที่ได้ไปถวายตัวเป็นปฐมอุบาสกแล้ว ก่อนจะจากมา จึงได้ขอพระราชทานสิ่งที่ตนจะนำไปบูชาแทนองค์พระพุทธเจ้า พระองค์จึงได้ประทานพระเกษาธาตุ ทั้งหมด 8 เส้น ให้แก่ชาวมอญทั้งสอง หลังจากที่มอญทั้งสองเดินทางกลับมาถึงเมืองตะเกิง (ย่างกุ้งในปัจจุบัน) ก็ได้สร้างเจดีย์ขึ้น และนำเอาพระเกษาธาตุไปบรรจุไว้ในเจดีย์ เพื่อให้คนได้กราบไหว้มาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับเวลาที่เปิดให้เข้าชมและกราบไหว้องค์เจดีย์ เปิดตั้งแต่เวลา 04.00 น. จนถึง 21.00 น. สาเหตุที่เปิดให้เข้าชมเวลานี้ ก็เพื่อให้ผู้ที่เข้าไปนมัสการองค์เจดีย์ ได้เห็นแสงแรกที่ส่องมาจากทางตะวันออก และเห็นแสงสุดท้าย ที่ส่องมากระทบทองคำและอัญมณีที่อยู่ล้อมรอบองค์เจดีย์นั่นเองครับ สำหรับการปฏิบัติตนเมื่อจะเข้าไปกราบไหว้ ก็คือ ต้องถอดรองเท้า และนำเอารองเท้าใส่ไว้ในถุงพลาสติกที่ทางวัดเตรียมไว้ให้ครับ หากท่านไม่ปฏิบัติตาม ก็จะมีเด็กพม่าวิ่งอยู่โดยรอบ เพื่อทักท้วงท่าน และบอกให้ทำตามในสิ่งที่เขาเคยปฏิบัติต่อๆกันมาครับ
นี่คือการแนะนำอีก 1 สถานที่ท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายไม่ควรพลาดครับ และหากท่านเป็นชาวพุทธด้วยแล้ว ครั้งหนึ่งในชีวิต ก็ต้องหาโอกาสไปนมัสการองค์เจดีย์และเยี่ยมชมความสวยงามตระการตาขององค์เจดีย์ให้ได้ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก:
http://www.tripdeedee.com/traveldata/myanmar/myanmar05.php
http://www.tripdeedee.com/traveldata/myanmar/myanmar05.php
https://amazingthaisea.com/
http://gothailandgoasean.tourismthailand.org/th/
ค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2561 จากบทความ , เรื่องเล่าจากพระมหาเจดีย์ชเวดากอง แห่งเมียนมา
ค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2561 จากบทความ , เรื่องเล่าจากพระมหาเจดีย์ชเวดากอง แห่งเมียนมา
วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2561
รู้จักกับผู้เขียน
Southeast asia Travel บล็อคนี้ มีไว้สำหรับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะ รวมไปถึงการให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสถานที่นั้นๆ แต่ก่อนจะไปสู่เรื่องราวที่น่าตื่นตาตื่นใจ และเห็นความยิ่งใหญ่ของศิลปะของความยิ่งใหญ่ในที่ต่างๆนั้น ก่อนอื่น มารู้จักกับตัวผู้เขียนก่อนเลยครับ
ชื่อ อัครเดช โคตนายูง ปัจจุบันเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นครับ โดยส่วนตัวแล้วชอบเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เพราะเป็นต้นกำเนิดของหลายๆสิ่งในปัจจุบัน และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา ก็เป็นอีกภูมิภาคที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน มีความหลากหลายทางด้านศิลปะและโบราณคดีอีกด้วย ซึ่งหลายคนอาจจะไม่เคยรู้ หรือไม่ได้สนใจที่จะศึกษาอย่างจริงจังเกี่ยวกับสิ่งต่างๆเหล่านั้น มันทำให้บางอย่าง ถูกกาลเวลากลืนกินจนหายไปในที่สุด ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้ตัดสินใจที่จะสร้างบล็อคนี้ขึ้น เพื่อถ่ายทอดสิ่งต่างๆที่ได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง หรือได้เรียนรู้จากอาจารย์ที่ถ่ายทอดให้ โดยหวังว่า ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะสามารถนำเอาความรู้ในบล็อคนี้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือถ่ายทอดต่อก็ได้
โดยเนื้อหาที่จะนำมาถ่ายทอด จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง มีหลักฐานประกอบ หรือมีงานวิจัยจากนักวิชาการมาอ้างอิงประกอบ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และมั่นใจได้ว่าผู้อ่านทุกท่าน จะได้รับความรู้ที่เป็นทางการ และสามารถยอมรับได้ในวงกว้างของนักโบราณคดี หรือนักวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับด้านนี้โดยเฉพาะ
ท้ายนี้ ฝากติดตาม และแชร์ต่อด้วยนะครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)