วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2563

เว้ เมืองมรดกโลกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

http://pppwu.blogspot.com/2018/08/complex-of-hue-monuments.html


      ประเทศเวียดนาม เป็นประเทศที่สามารถเดินทางจากประเทศไทย ผ่านประเทศลาว และถึงเวียดนามได้โดยการเดินทางเพียง 9 ชั่วโมง และมีทัวร์มาลงที่เวียดนามประจำ โดยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในเวียดนามส่วนมาก จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่บอกถึงประวัติศาสตร์ของเวียดนามตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และหนึ่งในนั้น ก็ยังเป็นสถานที่ที่ UNESCO ประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2536 อีกด้วย นั่นคือ เมืองเว้นั่นเอง และในบทความนี้ ผู้เขียนจะพาท่านผู้อ่านไปสำรวจเมืองเว้ ในฐานะของสถานที่ท่องเที่ยวที่เลื่องชื่อแห่งหนึ่งของเวียดนาม

http://pppwu.blogspot.com/2018/08/complex-of-hue-monuments.html


    เมืองเว้ มีที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฮานอย 540 กิโลเมตร ห่างจากเมืองนครโฮจิมินห์ไปทางตอนเหนือ 644 กิโลเมตร โดยพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นที่ราบสูง ประกอบไปด้วยก้อนหิน หินทราย และหินภูเขาไฟ นอกจากนี้ ยังถือเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญของเวียดนามอีกด้วย ในอดีต เมืองเว้เป็นเพียงเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ใจกลางของประเทศเวียดนาม อยู่ภายใต้การปกครองของขุนนางเหวียนฉวาง และเมื้อเกิดสงครามแบ่งแยกดินแดนระหว่างเวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ ทำให้องเชียงสือต้องปราบกบฏลง และรวมเวียดนามเข้าเป็นหนึ่งเดียวในปี พ.ศ. 2345 และได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองเว้ นี่จึงอาจกล่าวได้ว่า เมืองเว้เป็นจุดเริ่มต้นของราชวงศ์เหวียน และก็เป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์เหวียนเช่นกัน เมื่อ 33 ปีต่อมา ที่ฝรั่งเสศเข้ายึดครองเวียดนาม ประกอบกับสงครามเอเชียบูรพา และขบวนการต่อต้านระบอบการปกครองแบบจักรวรรดินิยม ด้วยปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ทำให้เมืองเว้เป็นสถานที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาที่สำคัญของเวียดนามทั้งสิ้น


ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด เมื่อเข้ามาเยี่ยมชมเมืองเว้แล้วนั้น ในบทความนี้ จะขอคัดมาเพียง 3 สถานที่ ดังนี้


1 เมืองต้องห้าม

http://pppwu.blogspot.com/2018/08/complex-of-hue-monuments.html

นครจักรพรรดิ หรือเมืองต้องห้ามแห่งนี้ มีรูปแบบการก่อสร้างตามแบบจีน โดยออกแบบให้มีกำแพงรายล้อมถึง 3 ชั้น เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้ามา จะเห็นปืนใหญ่ 9 เทพเจ้าอยู่ด้านขวามือ โดยใช้แทนความหมายธาตุทั้ง 5 และฤดูกาลทั้ง 4


ถัดจากปืนใหญ่ 9 เทพเจ้า คือกำแพงเหลือง ซึ่งสร้างไว้เป็นกำแพงชั้นกลาง ล้อมรอบพระราชวังและสวนดอกไม้เอาไว้ โดยกำแพงเหลืองนี้ ได้ถูกตบแต่งอย่างสวยงามที่ประตูทั้งสี่ทิศ เมื่อผ่านกำแพงเหลืองเข้ามา จะพบกับพระราชวังไทเฮา ซึ่งเป็นพระราชวังที่สำคัญที่สุด


2 สุสานของพระเจ้าตือดึ๊ก

http://aumlucktour.com/sub2content.asp?id=16311


พระเจ้าตือดึ๊ก เป็นโอรสองค์ที่ 4 ของพระเจ้าเถี่ยวตรีแห่งราชวงศ์เหวียน และเป็นจักรพรรดิที่ปกครองเวียดนามได้นานถึง 36 ปี ถึงแม้สุสานแห่งนี้ จะไม่มีอะไรสะดุดตามากนัก แต่ก็เป็นความลงตัวในการก่อสร้างและออกแบบทั้งหมด โดยสุสานของพระเจ้าตือดึ๊ก ว่ากันว่าใช้เวลาก่อสร้างถึงสามปี และใช้แรงงานคนถึง 3000 คน โดยพระองค์ได้ออกแบบการก่อสร้างสุสานด้วยองค์เองทั้งหมด จุดที่น่าเยี่ยมชมของสุสานแห่งนี้ คือ ตำหนักสองหลังที่เก่าแก่ภายใต้อาคารไม้แห่งทะเลสาบลูเคียม ที่มีดอกไม้บานสะพรั่ง โดยพระเจ้าตือดึ๊กทรงใช้เวลาว่างผ่อนคลายอิริยาบถโดยการตกปลา ณ ที่แห่งนี้ ส่วนตัวสุสานเป็นส่วนที่อยู่ด้านในสุด


3 วัดนามซาว

http://huecityy.blogspot.com/2015/12/blog-post_20.html


วัดนามซาว เป็นวัดที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำหอม 2 กิโลเมตร สิ่งที่เป็นจุดเด่นสำคัญของวัดแห่งนี้ คือ ภายในวัดจะมีบันไดให้เดินขึ้นไปแท่นวงกลม ซึ่งเดิมเคยใช้ทำพิธีกรรมต่างๆ ภายใต้แนวคิดที่ว่า สวรรค์เป็นวงกลม ส่วนโลกจะเป็นสี่เหลี่ยมนั่นเอง

นอกจากสามสถานที่ ที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้ เมืองเว้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งให้เข้าเยี่ยมชม ผู้เขียนหวังว่า เมื่ออ่านบทความนี้จบแล้ว ผู้ที่รักการท่องเที่ยวอาจจะต้องหาเวลาไปเยี่ยมชมเมืองมรดกโลกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้สักครั้งในชีวิตให้ได้ ส่วนในบทความหน้า จะมีสถานที่ท่องเที่ยวจากที่ไหนมาแนะนำนั้น โปรดติดตามนะครับ


http://pppwu.blogspot.com/2018/08/complex-of-hue-monuments.html

http://pppwu.blogspot.com/2018/08/complex-of-hue-monuments.html

http://pppwu.blogspot.com/2018/08/complex-of-hue-monuments.html


ขอบคุณข้อมูลจาก https://travel.mthai.com/world-travel/63126.html 

วัดมหามัยมุนี หนึ่งใน 5 สถานที่ท่องเที่ยวของพม่า ที่ไปครั้งแรกแล้วไม่ควรพลาด

http://pongsakornth.eu5.org/?p=1023

     หากจะพูดถึงพระพุทธรูปที่มีความสำคัญของประเทศไทย แน่นอนว่า ทุกคนคงจะนึกถึงพระแก้วมรกตใช่มั้ยครับ แต่ในบทความนี้ ผมจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับพระพุทธรูปที่มีความสลักสำคัญเป็นอย่างมาก แต่พระพุทธรูปองค์นี้ ประดิษฐานอยู่ในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาครับ

      แต่ก่อนที่จะพูดถึงพระพุทธรูป ผมขอผู้อ่านไปรู้จักกับประวัติและความเป็นมาของวัดก่อนนะครับ ซึ่งชื่อวัดก็ตั้งตามชื่อพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ด้านในเลย ก็คือ วัดมหามัยมุนีนั่นเองครับ โดยวัดแห่งนี้ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2328 โดย พระเจ้าโบดอพญา หรือ พระเจ้าปดุง กษัตริย์แห่งราชวงศ์อลองพญา ตั้งอยู่ที่เมืองอมรปุระ ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงในขณะนั้น ต่อมาวัดแห่งนี้ ได้เป็นวัดที่สำคัญต่อพระมหากษัตริย์ พระมเหสี และราชวงศ์ชั้นสูง เพื่อปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา อย่างที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่า ประเทศพม่า หรือเมียนมา มีความเคร่งครัดในการนับถือพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

https://travel.mthai.com/world-travel/72350.html

      ต่อมาในปี พ.ศ. 2427 ได้เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งใหญ่ขึ้น สร้างความเสียหายให้กับวัดมหามัยมุนี รวมไปถึงพระพุทธรูปมหามัยมุนีด้วย ทองคำเปลวที่ปิดอยู่ที่องค์พระหลอมละลายออกมา ซึ่งต่อมามีการนำทองคำเปลวกลับไปปิดที่องค์พระพุทธรูปดังเดิม และวัดแห่งนี้ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่โดย พระเจ้าธีบอ หรือ พระเจ้าสีป่อ ทรงถวายพระราชทรัพย์เพื่อใช้ในการบูรณะปฏิสังขรณ์ เป็นจำนวนเงินถึง 18360 รูปี และได้มีการทำนุบำรุงวัดมาตั้งแต่นั้นจนถึงปัจจุบัน


      สำหรับทางเข้าไปภายในตัววัด จะแบ่งออกเป็นสี่ทิศ สิ่งที่ไม่ควรพลาดในการเยี่ยมชมก็คือ อาคารที่ใช้เก็บรูปหล่อสัมฤทธิ์ ซึ่งเดิมทีนั้น เคยมีรูปหล่อสัมฤทธิ์ถึง 30 กว่ารูป แต่ตอนนี้ เหลือเพียงรูปช้างเอราวัณ 1 รูป สิงห์ 3 ตัว และเทวดา 2 องค์เท่านั้น โดยสิ่งที่พิเสษของรูปหล่อเหล่านี้ก็คือ รูปหล่อสัมฤทธิ์ทั้งหมดในอาคารหลังนี้ ไม่ได้สร้างขึ้นในประเทศพม่าแต่อย่างใด แต่เป็นรูปหล่อที่ถูกสร้างขึ้นด้วยศิลปะของขอมครับ  หากแต่ผ่านการเคลื่อนย้ายหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่เมื่อครั้งที่เจ้าสามพระยาแห่งกรุงศรีอยุธยา ยกทัพไปตีนครธมได้สำเร็จ จึงได้สั่งให้ยกเอารูปหล่อสัมฤทธิ์ในเมืองนครธมมาประดิษฐานที่กรุงศรีอยุธยาด้วย ต่อมา ในปี พ.ศ. 2112 พระเจ้าบุเรงนองหรือผู้ชนะสิบทิศ ยกทัพจากกรุงหงสวาวดี (หรือเมืองพะโคในปัจจุบัน) เข้าตีกรุงศรีอยุธยา ซึ่งถือเป็นการเสียกรุงครั้งแรกของกรุงศรีอยุธยาด้วย หลังจากที่ตีได้สำเร็จ พระเจ้าบุเรงนองได้สั่งให้เคลื่อนย้ายรูปหล่อสัมฤทธิ์มาไว้ที่พม่าอีกทีหนึ่ง เห็นมั้ยละครับว่า รูปหล่อสัมฤทธิ์ในอาคารหลังนี้ มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาเลยทีเดียว และนอกจากจะมีอาคารที่เก็บรูปหล่อสัมฤทธิ์แล้ว ยังมีภาพเขียนสีน้ำมัน ที่พูดถึงตำนานของพระมหามัยมุนี ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างอีกด้วย

http://pongsakornth.eu5.org/?p=1023

       ส่วนอาคารที่เป็นประธานของวัด ก็คงจะหนีไม่พ้นวิหารพระมัยมุนี รูปแบบของตัวอาคาร เป็นศิลปะพม่าผสมผสานกับศิลปะตะวันตก เพราะตัวอาคารเพิ่งสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2428 ออกแบบโดยสถาปนิก ชื่อ เฮนรี่ ฮอย-ฟอกซ์ ส่วนองค์พระประดับประดาไปด้วยของล้ำค่าต่างๆ เช่น มรกต ทับทิม ไข่มุก โดยเครื่องประดับทั้งหมดนี้สามารถถอดออกได้ เช่นเดียวกับเครื่องประดับขององค์พระแก้วมรกต โดยตำนานของพระมหามัยมุนี เล่าว่า เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จเยือนกรุงธัญวดี เมืองหลวงของยะไข่ ครั้งนั้น พระเจ้าจันธรสุริยะได้ทรงขอสร้างรูปเคารพไว้เป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ก็อนุญาต และได้ทรงประธานลมหายใจให้กับพระพุทธรูปมหามัยมุนีด้วย และก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปยังสถานที่ต่อไป พระพุทธรูปมหามัยมุนี ได้พยายามที่จะลุกขึ้นทำความเคารพพระพุทธเจ้าด้วย แต่พระองค์ทรงห้ามไว้ จากตำนานนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่า พระพุทธรูปมหามัยมุนี เป็นพระพุทธรูปหนึ่งเดียวในพม่า ที่ยังคงมีลมหายใจ และนำมาสู่พิธีกรรมล้างพระพักตร์ให้กับพระพุทธรูปในตอนเช้าด้วย

 

http://pongsakornth.eu5.org/?p=1023

      โดยพิธีล้างพระพักตร์พระพุทธรูปนี้ ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจของวัด โดยพิธีจะเริ่มต้นตั้งแต่ตีสี่ เริ่มจากการประโคมวงมโหรี และทำพิธีโดยเจ้าอาวาส ส่วนพุทธศาสนิกชนที่จะเข้าร่วม ก็จะมีที่นั่งถัดออกไป อย่างไรก็ตาม พิธีกรรมเหล่านี้ คาดการณ์ว่าจะได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เนื่องจากศาสนาพุทธ ไม่นิยมให้ทำพิธีกรรมแบบนี้นะครับ  นี่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญ หากมีโอกาส อย่าลืมแวะไปเยี่ยมชมพิธีล้างพระพักตร์ พระพุทธรูปมหามัยมุนีกันด้วยนะครับ

      เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองพม่า ซึ่งถือได้ว่า เป็นประเทศที่มีการนับถือศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด และเป็นที่แสวงบุญของพุทธศาสนิกชนอีกที่หนึ่งเลย สำหรับสถานที่องเที่ยวต่อไป ผมจะพาทุกท่านไปเยี่ยมชมที่ไหนนั้น โปรดติดตามนะครับ สำหรับบทความนี้ สวัสดีครับ

 

อ้างอิงข้อมูลจาก : https://readthecloud.co/mahamuni-buddha-temple-myanmar/

และเว็บไซต์ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=149 

วัดจอมเขามณีรัตน์ สถานที่ท่องเที่ยวที่มีอายุยาวนานกว่า 200 ปี

http://laos-travel.blogspot.com/2013/11/Bokeo.html

       ขอทักทายท่านผู้อ่านที่รักในการท่องเที่ยว และรักในประวัติศาสตร์ครับ วันนี้ ผมจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับวัดแห่งหนึ่งของประเทศลาว ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านเรา ที่สามารถเดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับได้ โดยประเทศลาว ก็ถือเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับประเทศไทยนั่นแหละครับ ภาษาลาวบางสำเนียงก็เป็นภาษาอีสาน ซึ่งเป็นภาษาถิ่นของคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยปัจจุบัน หรือคนไทยบางกลุ่ม ก็โยกย้ายมาจากประเทศลาว เช่น ลาวพวน ลาวกาว เป็นต้น

แต่ในวันนี้ ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกับวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอายุยาวนานกว่า 200 ปี วัดแห่งนี้ก็คือ วัดจอมเขามณีรัตน์นั่นเองครับ

http://laos-travel.blogspot.com/2013/11/Bokeo.html


      วัดจอมเขามณีรัตน์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ วัดจอมแก้วมณีรัตน์ เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขานะครับ มีความสูง 100 เมตร เห็นจะได้ โดยวัดตั้งอยู่ภายในแขวงบ่อแก้ว ซึ่งถือได้ว่าเป็นแขวงที่เล็กที่สุดของประเทศลาว และติดกับชายแดนไทย-พม่า ต่อมา จึงกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของประเทศลาว เพราะติดกับท่าเรือนั่นเองครับ ทำให้เส้นทางคมนาคมติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน สามารถทำได้สะดวกมากขึ้น ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นแขวงบ่อแก้ว มีห้วยทรายเป็นเมืองหลวง แต่ปัจจุบัน เรียกเป็นอำเภอห้วยทรายแล้วครับ 


     วัดแห่งนี้ เป็นวัดที่หันหน้ามาทางอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายของประเทศไทย เมื่อขึ้นบันไดนาคจนไปถึงจุดสูงสุด จะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ และมองเห็นถึงฝั่งเชียงของได้เลยนะครับ ภายในตัววัด ยังมีวิหารที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัก ตามผนังวัดจะประกอบไปด้วยภาพเขียนสีน้ำมันที่เป็นศิลปะไทยใหญ่ผสมผสานกับศิลปะลาวครับ

http://laos-travel.blogspot.com/2013/11/Bokeo.html


     นอกจากนี้ ยังมีระฆังและกลองขนาดใหญ่บนหอหลองด้วย หากขึ้นไปอยู่บนหอหลองแล้ว สามารถมองเห็นป้อมกาโมห์ ซึ่งเดิมที เป็นป้อมของฝรั่งเศส ในช่วงที่ลาวตกเป็นเมืองขึ้นนะครับ แต่ตอนนี้ ไม่อนุญาตให้คนทั่วไปเข้าเยี่ยมชมได้แล้ว และวัดแห่งนี้ ก็เคยได้รับการปฏิสังขรณ์ โดยพระบาทสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงเสด็จประพาสเมืองบ่อแก้ว ในปี พ.ศ. 2537 อีกด้วยครับ

https://forums.chiangraifocus.com/?topic=593641


      เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศลาว วัดแห่งนี้อาจจะไม่มีข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์มากนัก หากแต่สามารถที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศเพื่อนบ้านเรา เพื่อเยี่ยมชมงานศิลปะในวัดได้ และยังได้ช่วยไปกระตุ้นภาคเศรษฐกิจให้กับประเทศที่เราเยกว่า เป็นประเทศบ้านพี่เมืองน้องของไทยอีกด้วยนะครับ สำหรับบทความนี้ ผมขอจบไว้เพียงเท่านี้ ไว้บทความหน้า จะพาทุกท่านไปชมสถานที่ท่องเที่ยที่ไหน หรือจะมีเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์อะไรมาฝากทุกท่าน โปรดติดตามด้วยนะครับ


อ้างอิงข้อมูลจาก: laos-travel.blogspot.com › 2013/11 › Bokeo

 

บันทายศรี สถานที่ท่องเที่ยวในกัมพูชาที่ไม่ควรพลาด

https://sites.google.com/site/prasathhin/prawati-prasath-hin/prasath-ban-thay-sri


      ประเทศกัมพูชา เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และมีอิทธิพลกับประเทศไทยในหลายๆด้าน เช่น อิทธิพลด้านศิลปะ หรือแม้กระทั่งอิทธิพลด้านภาษา เพราะประเทศกัมพูชา มีชายแดนติดกับประเทศไทย ทำให้ง่ายและสะดวกต่อการไปมาหาสู่กันเป็นธรรมดา

แต่หากจะพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวในกัมพูชาแล้ว ส่วนมากเราจะเห็นว่าเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยปราสาทหิน ซึ่งสะท้อนความคิด ความเชื่อในเรื่องศาสนาของประเทศกัมพูชาในอดีตเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่เป็นยุครุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยหลักพื้นฐานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูนั้น จะมีความเชื่อเรื่องเทพเจ้า ที่เรียกว่า ตรูมูรติ ซึ่งประกอบไปด้วย พระพรหม พระศิวะ และพระนารายณ์ ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นต้นเหตุให้มีการก่อสร้างปราสาทหินขึ้นเกลื่อนกลาดในกัมพูชา และเป็นมรดกตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน

ในบทความนี้ ผมจะพาไปรู้จักกับ ปราสาทบัณทายศรี ซึ่งถือเป็นอีกสถานที่หนึ่ง ที่หากได้ไปเยือนกัมพูชาแล้ว บอกเลยไม่ควรพลาด 

https://sites.google.com/site/prasathhin/prawati-prasath-hin/prasath-ban-thay-sri


       ปราสาทหินบัณทายศรี ถูกสร้างขึ้นในเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 1510 และสร้างสำเร็จในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 5   โดยพราหมณ์วัชญวราหะ จุดประสงค์ก็เพื่อ สร้างถวายแด่พระอิศวร ซึ่งเป็นหนึ่งในเทพทั้งสาม ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ตัวปราสาทมีขนาดเล็ก จุดเด่นของการสร้างครั้งนี้ก็คือ ปราสาทถูกสร้างขึ้นโดยใช้หินสีชมพู ซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งที่หายาก

https://sites.google.com/site/prasathhin/prawati-prasath-hin/prasath-ban-thay-sri

       ภายในตัวปราสาท ก็จะมีการสลักเป็นรูปต่างๆตามความเชื่อ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความวิจิตรบรรจงของผู้สร้าง ยิ่งไปกว่านั้น ยังแสดงให้เห็นถึงความศรัทธาในศาสนาอีกด้วย โดยซุ้มประตูทางเข้าปราสาท จะมีรูปสลักของพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ด้านซ้ายมือนั้น จะจำลักภาพพระอิศวรทรงโค และด้านขวามือ จำลักด้วยภาพพระนารายณ์อวตารเป็นนรสิงห์

https://sites.google.com/site/prasathhin/prawati-prasath-hin/prasath-ban-thay-sri


       เมื่อผ่านประตูเข้าไป จะเห็นว่าทุกด้านของผนังปราสาท มีงานศิลปะที่วิจิตรบรรจง เช่น ที่หน้าบันของแต่ละซุ้มประตูของหอสมุด หรือที่เรียกว่า บรรณาลัย จะประกอบไปด้วยภาพวาดของเทพในสาสนาพราหมณ์ โดยด้านทิศเหนือ จะเป็นภาพของพระอินทร์ กำลังบันดาลให้ฝนตก ด้านทิศตะวันออก จะแสดงภาพพระกฤษณะกำลังประหารพระยากงในพระราชวัง เป็นต้น

https://sites.google.com/site/prasathhin/prawati-prasath-hin/prasath-ban-thay-sri


        ด้วยเหตุที่ปราสาทบันทายศรี เป็นอีกหนึ่งปราสาทที่สำคัญ และสะท้อนความเชื่อทางศาสนาของชาวเขมร หรือขอมในอดีตได้อย่างดี ผู้เขียนจึงขอทิ้งท้ายไว้ว่า หากท่านได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวกัมพูชา ปราสาทบันทายศรีแห่งนี้ ก็เป็นอีกแห่งหนึ่ง ที่ท่านไม่ควรพลาดโดยประการทั้งปวงครับ และในบทความหน้า เราจะพาท่านผู้อ่านไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โปรดติดตาม สำหรับบทความนี้ สวัสดีครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก www.rakyimtour.com › travel-info › banteay-srei-cambodia และ www.lifestyle224.com › ... › RELAX › TRIP



วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2563

5 เทคนิค ที่จะทำให้คุณพัฒนาไปสู่ไกด์มืออาชีพ

        
ที่มาภาพ : https://www.gotokyo.org/th/plan/machinaka-community-tourist-information/index.html


       สวัสดีครับ ก็กลับมาพบผู้อ่านอีกเช่นเคยนะครับ หลังจากที่เราได้รู้เรื่องราวของประวัติศาสตร์ หรือสถานที่ท่องเที่ยวของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในบทความก่อนหน้านี้ คิดว่าผู้อ่านคงได้ทราบเรื่องราวประวัติศาสตร์มาพอสมควรแล้ว ในบทความนี้ ผมจะมาบอกถึง เทคนิคของไก๊ด์นำเที่ยว ซึ่งแน่นอนครับว่า เรารู้เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว จะไม่พูดถึงไก๊ด์นำเที่ยวเลยก็คงไม่ได้ และผมก็เชื่อว่า เป็นอาชีพที่หลายๆคนอาจจะกำลังเดินทางไปหามันนะครับ เพราะเป็นอาชีพที่ได้เที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ ได้พบกับคนมากมาย แถมรายได้ยังสูงอีกด้วย ว่าแต่ เทคนิคของไก๊ด์นำเที่ยวที่ควรรู้จะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปดูพร้อมๆกันเลยครับ


1.  จัดสรรเวลาให้ลงตัว

      เวลาเป็นสิ่งสำคัญมากนะครับ สำหรับทุกสิ่ง ยิ่งการที่จะพานักท่องเที่ยวให้ไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆให้ได้มากที่สุด ให้ลูกทัวร์ซึมซับสิ่งต่างๆจากสถานที่นั้นๆให้ได้เยอะที่สุด และในกรอบเวลาที่จำกัดที่สุด เพราะโดยส่วนใหญ่ นักท่องเที่ยวที่ไปเป็นกลุ่ม มักจะมีเวลาไปประมาณ 2 วัน 3 คืน หรือ 3 วัน 4 คืน ดังนั้น เมื่อเราลงภาคสนาม และพานักท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ การวางแผนแข่งกับเวลา เป็นสิ่งที่ไก๊ด์เลี่ยงไม่ได้ และจำเป็นต้องฝึกจัดสรรเวลาให้ชำนาญด้วย เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยครับว่า ปัญหาเฉพาะหน้า เราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ดังนั้น การทำงานในกรอบเวลาที่กระชั้นชิด และการตรงต่อเวลา สำคัญมากครับ

ที่มาภาพ: http://www.readypr0ject.com/product/743/แอปพลิเคชันสร้างมัคคุเทศก์นำเที่ยวและทริปท่องเที่ยว


2.  รับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี
        ทุกครั้งที่พาลูกทัวร์ไปยังสถานที่ต่างๆ เราไม่สามารถคาดเดาอนาคตล่วงหน้าได้ ดังนั้น สิ่งที่ไก๊ด์ต้องคำนึงถึงตลอดก็คือ หากเกิดปัญหานี้ขึ้น จะดำเนินการอย่างไร เช่น หากกลุ่มทัวร์เป็นผู้สูงอายุ แล้วเกิดเป็นลมในสถานที่ท่องเที่ยว เราจะต้องปฐมพยาบาลเป็นเบื้องต้นก่อน แล้วทำอย่างไรต่อไป ควรมีแผนการเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อรับมือปัญหาที่ไม่อาจคาดคิดได้ ตรงนี้สำคัญมากนะครับ เพราะถ้าตัดสินใจผิดพลาด หรือช้าแค่นาทีเดียว อาจจะถึงแก่ชีวิต หรือทำให้ทัวร์ล่มเลยก็ได้ ซึ่งมันจะส่งผลระยะยาวต่อบริษัท และแน่นอน ส่งผลต่ออาชีพเราเองครับ

3. ตอบคำถามหนึ่งคน ให้ทุกคนเข้าใจ
       ถ้าอ่านแต่หัวข้อ ก็จะงงนิดนึงนะครับ แต่สิ่งที่ผมจะอธิบายก็คือ ในขณะที่เราภาคทัวร์ หรืออธิบายสถานที่ท่องเที่ยวให้กับลูกทัวร์ฟังอยู่นั้น อาจจะมีซักคนนึงที่ถามคำถามขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเราจำเป็นต้องตอบคำถามลูกทัวร์ ก็ควรจะตอบคำถามด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินในกลุ่มลูกทัวร์ทุกคน เพราะลูกทัวร์ที่มาด้วยกัน อาจจะกำลังมีคำถามนี้อยู่ จะได้ไม่ต้องถามซ้ำกัน ทำให้เวลายืดเยื้อ และอีกนัยหนึ่ง จะทำให้ลูกทัวร์ได้รับความรู้ไปด้วยนั่นเองครับ

ที่มาภาพ:https://th.rti.org.tw/radio/programMessageView/id/29489


4. ไม่หันหน้าเข้าหาสิ่งที่จะบรรยายโดยตรง

       เมื่อเราจะคุยกับใคร เราจำเป็นต้องหันหน้าเข้าหาคนนั้น เพื่อจะได้มีการสบตา และสำรวจได้ว่า ลูกทัวร์เข้าใจในสิ่งที่เรากำลังอธิบายอยู่หรือไม่ กรณีย์การนำเที่ยวก็เช่นกันครับ เมื่อถึงจุดที่เราต้องอธิบายให้ลูกทัวร์ฟัง เราไม่จำเป็นต้องหันหน้าเข้าหาสิ่งนั้นโดยตรง เพราะจุดประสงค์เราคือ การอธิบายให้ลูกทัวร์เข้าใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร ลูกทัวร์อาจจะเคยมายังสถานที่นี้เป็นครั้งแรก แต่ไก๊ด์เคยมาเป็นร้อยๆครั้งแล้ว (จุดนี้ต้องขึ้นอยู่กับระยะเวลาการทำงานด้วยนะครับ) ดังนั้น เมื่อจะกล่าวถึงสิ่งใด เพียงแค่ผายมือ หรือใช้หางตามองไปทางสิ่งนั้น หรืออาจจะใช้สัญลักษณ์ที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น สี หรือรูปทรง เพื่อที่จะทำให้ลูกทัวร์เห็นภาพชัดเจน และเข้าใจมากขึ้นนั่นเองครับ

5. เอาใจใส่ในการภาคทัวร์ทุกครั้ง

        การภาคทัวร์ หรือการนำทัวร์ ไก๊ด์จะต้องมีใจเป็นผู้บริการตั้งแต่เริ่มบรรยายในแต่ละสถานที่ จนกระทั่งจบทัวร์นั้นๆเลยนะครับ โดยเริ่มตั้งแต่ การหาที่ร่มให้ลูกทัวร์ยืนอยู่หน้าสถานที่ท่องเที่ยว อธิบายคร่าวๆ ไม่ลงลึกเรื่องเนื้อหา เพราะจะทำให้ลูกทัวร์เบื่อที่จะฟัง บอกจุดสังเกตหากมีการพลัดหลง หรือเมื่อเข้าไปในสถานที่แล้ว บอกให้ชัดเจนว่า อะไรควรหรือไม่ควรทำ เช่น การถอดรองเท้าและถอดหมวกก่อนการเข้าโบสถ์ ระวังทางลาดชันที่อยู่ข้างหน้า เพราะลูกทัวร์บางท่านอาจจะกำลังเดินถ่ายรูปเพลิน จนลืมสังเกตว่ามีทางต่างระดับ หรือแม้กระทั่งการถามทุกครั้งว่ามีคำถามเพิ่มเติมหรือไม่ หากการภาคทัวร์เสร็จสิ้น ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่ที่เวลาในแต่ละสถานที่ด้วยนะครับ ไม่ควรให้นานเกินไป หรือเร็วเกินไป เพราะจะทำให้ลูกทัวร์พลาดข้อมูลที่สำคัญไปได้นั่นเอง


ที่มาภาพ:http://xf-ar.com/2019/09/04/ทักษะความสามารถที่ควรม/


        จริงๆแล้ว เทคนิคของไก๊ด์นำเที่ยว มีอีกเยอะเลยนะครับ นี่เป็นเพียง 5 ข้อ ที่เอามาฝากกันในวันนี้ จะเห็นได้ว่า อาชีพไก๊ด์นำเที่ยว ถึงแม้ว่าจะมีรายได้สูง แต่ความรับผิดชอบก็ต้องสูงด้วย เพราะเราต้องรับผิดชอบชีวิตคนที่เราไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวถึง 20-30 คน ขึ้นอยู่กับขนาดของกลุ่มทัวร์ สำหรับบทความหน้า ผมจะมีอะไรมาฝากกันอีก อย่าลืมติดตามกันนะครับ สำหรับวันนี้ ต้องจบไว้เพียงเท่านี้ก่อน และหวังว่า จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ 


วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2563

จุดเริ่มต้นของอารยธรรม

ที่มาภาพ: https://sites.google.com/site/prawatisastrsakl6/xarythrrm-lok-tawan-tk


           กลับมาเจอกับท่านผู้อ่านอีกครั้งนะครับ เมื่อบทความที่แล้ว เราได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของมนุษย์ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร มีการเปลี่ยนแปลงด้านวิถีชีวิตยังไง รวมไปถึงด้านกายภาพ ที่เปลี่ยนแปลงจากการอยู่บนต้นไม้ มาเป็นเดินสองขาบนพื้น จนกระทั่งกลายมาเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ และสืบเชื้อสายมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป สิ่งมีชีวิตก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และการต่อสู้ดิ้นรนนี้เองครับ ที่เรียกว่า "วิวัฒนาการ" 

        ส่วนในบทความนี้ ผมจะกล่าวต่อเนื่องจากคราวที่แล้ว โดยจะเริ่มต้นพูดถึงช่วงยุคหินเก่า ไปสิ้นสุดที่จุดเริ่มต้นของอารยธรรมมนุษย์ ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นพัฒนาการในแต่ละช่วงโดยคร่าวๆนะครับบ

       ยุคหินเก่า เป็นยุคที่มนุษย์ใช้หินในการดำรงค์ชีวิต ทั้งเป็นอาวุธในการล่าสัตว์ เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ในยุคนี้ จะยังไม่มีการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่ซับซ้อนหรอกนะครับ แต่ถึงกระนั้นเราก็เริ่มเห็นเค้าโครงของการพัฒนาด้านความเชื่อเรื่องโลกหลังความตาย เพราะได้มีการขุดค้นพบหลุมฝังศพ ที่มีการนำเอาเครื่องประดับฝังไปกับศพของผู้ตายด้วย ในยุคนี้ มนุษย์จะยังไม่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง เพราะวิถีชีวิตจะเป็นแบบ ล่าสัตว์หาของป่า คือเร่ร่อนไปเรื่อย ค่ำไหนนอนนั่น ซึ่งจะอาศัยตามถ้ำ หรือเพิงผา ในที่นี้ เราจะไม่พูดถึงยุคหินกลาง เพราะยุคหินเก่ากับยุคหินกลางก็มีความแตกต่างกันไม่มากนะครับ


       ยุคหินใหม่ ในยุคนี้ มนุษย์ได้มีการอยู่รวมกันเป็นสังคมใหญ่มากขึ้น จากกลุ่มคนเล็กๆ รวมกันเป็นหมู่บ้าน และที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยก็คือ มนุษย์รู้จักที่จะใช้ประโยชน์จากธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการดำรงค์ชีวิต กล่าวคือ มีการนำเอาสัตว์มาใช้แรงงาน หรือทำให้เชื่องและสามารถอยู่ร่วมกับคนได้ มีเทคโนโลยีที่สลับซับซ้อนมากขึ้น เช่น การปั้นหม้อ เพื่อเป็นภาชนะ ได้ค้นพบว่า ไฟสามารถหลอมละลายแร่ดีบุกกับทองแดงให้ผสมกันเป็นโลหะได้ และนำมาเป็นอาวุธ หรือเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ และในยุคหินใหม่นี้ มนุษย์ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตจากการล่าสัตว์หาของป่าแบบเดิม ลงมาตั้งรกรากอยู่ตามริมแม่น้ำ เพราะน้ำเป็นแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ เนื่องจากอยู่ใกล้น้ำ จึงเกิดการปฏิวัตรครั้งแรกขึ้น คือ "การปฏิวัตรเกษตรกรรม" นั่นเองครับ
จุดเริ่มต้นของอารยธรรม

        อย่างที่บอกไปแล้วว่า มนุษย์เริ่มมาอยู่กันที่ริมแม่น้ำ และตั้งรกรากเป็นสังคมใหญ่ ดังนั้น อารยธรรมที่เกิดขึ้น ในยุคแรกๆ ก็เป็นอารยธรรมลุ่มแม่น้ำนี่แหละครับ โดยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำที่สำคัญ และถือได้ว่าเป็นต้นแบบของอารยธรรมในปัจจุบัน มีอยู่ 4 วัฒนธรรมใหญ่ๆด้วยกัน โดยจะมีอารยธรรมตะวันตกอยู่ 2 ลุ่มแม่น้ำ และอารยธรรมตะวันออก อีก 2 ลุ่มแม่น้ำนะครับ

อารยธรรมเมโสโปเตเมีย เกิดขึ้นที่ลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรตีส (เมโส แปลว่า อยู่ระหว่างกลาง) ดังนั้น อารยธรรมนี้จึงเป็นอารยธรรมที่เกิดขึ้นตรงกลางของแม่น้ำสองสายนะครับ

อารยธรรมกรีก เกิดขึ้นที่ลุ่มแม่น้ำไนล์ ซึ่งแม่น้ำไนล์นี้ เป็นแม่น้ำที่มีความยาวที่สุดในโลกด้วยนะครับ มีความยาวถึง 6670 กิโลเมตรกันเลยทีเดียว

อารยธรรมจีน เกิดขึ้นที่แม่น้ำแยงซี ซึ่งแม่น้ำแยงซีนี้ เป็นแม่น้ำที่ติด 1 ใน 10 ของแม่น้ำที่มีความยาวที่สุดในโลกด้วย แยงซีมีความยาวถึง 6380 กิโลเมตรเลยนะครับ

อารยธรรมอินเดีย เริ่มต้นที่แม่น้ำสินธุ ซึ่งหลายๆท่านอาจจะคิดว่า ต้องเป็นแม่น้ำคงคา ซึ่งนั่นก็ไม่ผิดครับ เพราะแรกเริ่มเดิมที คนมิลักขะอาศัยอยู่ตามลุ่มแม่น้ำสินธุ แต่เมื่อมีการรุกรานพื้นที่ของชนเผ่าอารยัน ทำให้ต้องถอยร่นมาอยู่แม่น้ำคงคา ทำให้นำเอาอารยธรรมมาตรงนี้ด้วยนั่นเองครับ

แล้วอารยธรรมเหล่านี้ แพร่กระจายไปทั่วโลกได้อย่างไร?

      ก็เมื่อมีการอยู่รวมกันมากขึ้น มีการเจริญเติบโตของสังคมเมือง จากการผลิตที่ต้องผลิตเพียงเพื่ออยู่รอด จึงจำเป็นต้องผลิตเพื่อค้าขายด้วย อารยธรรมต่างๆเหล่านี้ ก็กระจายไปตามสถานที่ต่างๆตามการค้าขายนี่แหละครับ ไม่ว่าจะเป็นภาษา งานศิลปะ การแสดง หรือแม้แต่สิ่งประดิษฐ์หลายๆยอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็มีพื้นฐานมาจากสิ่งประดิษฐ์ในยุคเริ่มต้นของอารยธรรมมนุษย์นี่แหละครับ เช่น ระบบการประปา การใช้ล้อลาก จนนำมาสู่รถยนต์ในปัจจุบัน นาฬิกาทราย ในยุคกรีก จนถูกพัฒนามาเป็นนาฬิกาดิจิตอลในปัจจุบัน เป็นต้น


ที่มาภาพ: http://203.159.169.9/34/Pages/Content.aspx?cid=2e88a40d-ea25-457f-a80b-8e3c92bf8588&mode=c


         เห็นมั้ยละครับว่า คนยุคก่อน มีภูมิปัญญาที่น่าทึ่งมากแค่ไหน ผมอยากชวนให้ผู้อ่านลองจินตนาการย้อนไปดูว่า ถ้าเรามีชีวิตอยู่ในยุคเริ่มต้น คงลำบากน่าดู เพราะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก หรืออุปกรณ์เทคโนโลยีเช่นในปัจจุบันนี้ แต่ข้อดีก็อาจจะมีอยู่เยอะนะครับ เราไม่ต้องมากังวลกับปัญหาหลายๆอย่างที่ปัจจุบันต้องเจออยู่ เช่น ปัญหาโลกร้อน รถติด หรือแม้แต่วันนี้จะกินข้าวกับอะไร ผมเชื่อว่าบางคนที่อ่านอยู่ตอนนี้ก็อาจจะเคยถามตัวเองด้วยคำถามนี้เหมือนกัน (หัวเราะ)

สำหรับบทความนี้ ต้องขอจบลงแค่นี้ก่อนนะครับ ไว้รอบทความต่อไป ผมจะมีอะไรมาเล่าให้ทุกท่านได้อ่านกันอีก อย่าลืมติดตามด้วยนะคร้าบบบบ





วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2563

วิวัฒนาการของมนุษย์ (Human evolution)

ที่มาภาพ : https://sites.google.com/site/mintjeen09/1/7

       ก่อนอื่นก็ต้องขอทักทายผู้อ่านทุกท่าน ที่ยังคงติดตามอ่านบทความ และความรู้จากบล็อคนี้ทุกคนนะครับ หลังจากที่ห่างหายจากการอัพเดตบทความให้ทุกคนได้อ่านมานานพอสมควร วันนี้ ผมก็ได้กลับมาเขียนเรื่องราวที่น่าสนใจ ให้ทุกคนได้อ่านกันอีกครั้งแล้วครับ

       ทุกคนเคยสงสัยกันมั้ยครับว่า แท้ที่จริงแล้ว มนุษย์ หรือพวกเราเนี่ย มีที่มากันอย่างไร แน่นอนว่า ทุกคนอาจจะเคยได้ยินได้ฟังมาว่า มนุษย์นั้น สืบเชื้อสายมาจากลิง แต่แท้ที่จริงแล้ว เรามีรายละเอียดปลีกย่อยที่มากกว่านั้น ซึ่งน่าสนใจมากๆนะครับ ถ้าพร้อมแล้ว ก็ตามผมมาเรียนรู้เรื่องราววิวัฒนาการของมนุษย์กันได้เลยครับ


        การวิวัฒนาการของมนุษย์ หรือในภาษาอังกฤษว่า Human evolution เป็นการศึกษาถึงที่มาที่ไปของมนุษย์ โดยจะต้องใช้ศาสตร์หลายแขนงในการวิเคราะห์ ทั้งวิทยาศาสตร์ พันธุศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และด้านอื่นๆ เพื่อนำเอาข้อมูลมาวิเคราะห์ให้ครบในทุกๆด้าน เพื่อการอนุมานที่ถูกต้อง หรือใกล้เคียงความจริงมากที่สุด ตามหลักพันธุศาสตร์บอกว่า จริงๆแล้ว สิ่งมีชีวิตแต่ละสายพันธุ์ ก็สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกันนั่นแหละครับ แต่ในที่นี้ เราจะไม่พูดย้อนไปถึงขนาดนั้น เพราะคงต้องใช้เวลาอธิบายกันยาวมาก แต่เราจะมาพูดถึงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "มนุษย์" กันเลย ว่าก่อนที่จะมาถึงยุคนี้ เราผ่านอะไรกันมาบ้างนะครับ 

     จากการศึกษาพบว่า มนุษย์สามารถแบ่งออกได้หลายสายพันธุ์ แต่ถ้าจะแบ่งให้เข้าใจง่ายๆ ก็ต้องพูดกันตามยุคสมัย หรือใช้เวลาเป็นตัวแบ่งนั่นแหละครับ โดยถ้าจะแบ่งกันตามยุคสมัยแล้ว มนุษย์ก็มีวิวัฒนาการอยู่ทั้งหมด 4 ช่วงด้วยกัน โดยผมจะลงรายละเอียด ต่อไปนี้ละครับ

ที่มาภาพ : https://sites.google.com/site/mintjeen09/1/7


1.  Homo habilis (โฮโม ฮาบิลิส) เป็นมนุษย์ยุคแรกที่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า ได้เปลี่ยนจากการปีนต้นไม้ มาเดินสองขาบนพื้นดิน โดยมนุษย์กลุ่มนี้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อราว 2.3 ล้านปีก่อน นอกจากจะลงมาเดินบนพื้นดินแล้ว สิ่งที่ถือได้ว่าเป็นหลักฐานชัดเจนของการเริ่มต้นวิวัฒนาการเลยก็คือ การเริ่มรู้จักใช้เครื่องมือหิน หรือที่เราเรียกว่า ยุคหินนั่นแหละครับ มีนักวิทยาศาสตร์บางท่านเสนอว่า มนุษย์ยุคนี้ เป็นมนุษย์ที่สมองใหญ่กว่าลิงชิมแปนซีเล็กน้อย และสมองกลีบหน้ามีการพัฒนามากขึ้น จึงทำให้สามารถประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือต่างๆ และนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้นั่นเองครับ

2.  Homo electus (โฮโม อิเล็กตัส) มนุษย์กลุ่มที่สองนี้ มีพัฒนาการต่อจากมนุษย์โฮโมฮาบิลิส โดยเริ่มมีพัฒนาการตั้งแต่ 1.9 ล้านปีก่อน ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับมนุษย์กลุ่มนี้ก็คือ การมีกะโหลกศรีษะที่ใหญ่ขึ้น ทำให้สามารถบรรจุเซลล์สมองได้เพิ่มขึ้นด้วย ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มนุษย์สปีชีอิเล็กตัส มีเซลล์สมองเพิ่มขึ้นจากมนุษย์กลุ่มเดิมถึง 125000 เซลล์เลยทีเดียว นอกจากความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายแล้ว อิเล็กตัสยังเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่รู้จักการนำไฟมาใช้ประโยชน์ สามารถสร้างเครื่องมือเครื่องใช้จากหินที่มีความสลับซับซ้อนมากกว่าเดิม และยังเริ่มเดินทางเร่ร่อนไปต่างทวีปอีกด้วย ทั้งยุโรปและเอเชีย นี่จึงบ่งบอกได้ว่า การวิวัฒนาการของมนุษย์ยุคก่อนหน้านี้ พบได้ในแถบแอฟริกาเท่านั้น

3.  Homo neanderthalensis (โฮโมนีแอนเดอร์ทานเอนซิส) เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ทั้งในทวีปแอฟริกา เอเชียและยุโรป มนุษย์กลุ่มนี้จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้น มีการสร้างกระท่อมเป็นที่พักอาศัย แทนการนอนในถ้ำ มีการคิดค้นเครื่องนุ่มห่ม สร้างภาพเขียนในถ้ำ หรือแม้กระทั่งมีพิธีฝังศพเป็นครั้งแรก โดยมนุษย์กลุ่มนี้ อาจถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่มีความก้าวหน้าทางอารยธรรมเป็นอย่างมาก

4 Homo sapiens (โฮโม เซเปียน) เป็นบรรพบุรุษสายตรงของมนุษย์ในปัจจุบัน โดยมนุษย์กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีอายุอยู่ราว 200000 ปีก่อน ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง เพราะเราเปลี่ยนการดำรงค์ชีวิตโดยการล่าสัตว์ มาเป็นการทำเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมในเวลาต่อมา จากการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมเล็กๆ ก็มีการพัฒนาจนกลายเป็นหมู่บ้าน และประเทศในที่สุด โดยหลักฐานการค้นพบมนุษย์โฮโมเซเปียนครั้งแรกในประเทศไทยนั้น มีการขุดพบที่จังหวัดกระบี่ และสืบเชื้อสายมาจนถึงปัจจุบัน
        อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่มนุษย์กลุ่มโฮโมทั้งหมดที่พบได้บนโลก เพราะแท้ที่จริงแล้ว ได้มีการค้นพบหลักฐานการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตประเภท Homo (โฮโม แปลว่า มนุษย์) อยู่ทั้งหมด 9 สายพันธุ์ด้วยกันนะครับ ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในบทความนี้ จะทำให้ผู้อ่าน เข้าใจในที่ไปที่มาของมนุษย์มากขึ้น และครั้งหน้า ผมจะมีบทความ หรือความรู้อะไรมาฝากกันอีก อย่าลืมแวะเข้ามาติดตามกันได้นะครับ