วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2563

เว้ เมืองมรดกโลกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

http://pppwu.blogspot.com/2018/08/complex-of-hue-monuments.html


      ประเทศเวียดนาม เป็นประเทศที่สามารถเดินทางจากประเทศไทย ผ่านประเทศลาว และถึงเวียดนามได้โดยการเดินทางเพียง 9 ชั่วโมง และมีทัวร์มาลงที่เวียดนามประจำ โดยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในเวียดนามส่วนมาก จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่บอกถึงประวัติศาสตร์ของเวียดนามตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และหนึ่งในนั้น ก็ยังเป็นสถานที่ที่ UNESCO ประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2536 อีกด้วย นั่นคือ เมืองเว้นั่นเอง และในบทความนี้ ผู้เขียนจะพาท่านผู้อ่านไปสำรวจเมืองเว้ ในฐานะของสถานที่ท่องเที่ยวที่เลื่องชื่อแห่งหนึ่งของเวียดนาม

http://pppwu.blogspot.com/2018/08/complex-of-hue-monuments.html


    เมืองเว้ มีที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฮานอย 540 กิโลเมตร ห่างจากเมืองนครโฮจิมินห์ไปทางตอนเหนือ 644 กิโลเมตร โดยพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นที่ราบสูง ประกอบไปด้วยก้อนหิน หินทราย และหินภูเขาไฟ นอกจากนี้ ยังถือเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญของเวียดนามอีกด้วย ในอดีต เมืองเว้เป็นเพียงเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ใจกลางของประเทศเวียดนาม อยู่ภายใต้การปกครองของขุนนางเหวียนฉวาง และเมื้อเกิดสงครามแบ่งแยกดินแดนระหว่างเวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ ทำให้องเชียงสือต้องปราบกบฏลง และรวมเวียดนามเข้าเป็นหนึ่งเดียวในปี พ.ศ. 2345 และได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองเว้ นี่จึงอาจกล่าวได้ว่า เมืองเว้เป็นจุดเริ่มต้นของราชวงศ์เหวียน และก็เป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์เหวียนเช่นกัน เมื่อ 33 ปีต่อมา ที่ฝรั่งเสศเข้ายึดครองเวียดนาม ประกอบกับสงครามเอเชียบูรพา และขบวนการต่อต้านระบอบการปกครองแบบจักรวรรดินิยม ด้วยปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ทำให้เมืองเว้เป็นสถานที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาที่สำคัญของเวียดนามทั้งสิ้น


ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด เมื่อเข้ามาเยี่ยมชมเมืองเว้แล้วนั้น ในบทความนี้ จะขอคัดมาเพียง 3 สถานที่ ดังนี้


1 เมืองต้องห้าม

http://pppwu.blogspot.com/2018/08/complex-of-hue-monuments.html

นครจักรพรรดิ หรือเมืองต้องห้ามแห่งนี้ มีรูปแบบการก่อสร้างตามแบบจีน โดยออกแบบให้มีกำแพงรายล้อมถึง 3 ชั้น เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้ามา จะเห็นปืนใหญ่ 9 เทพเจ้าอยู่ด้านขวามือ โดยใช้แทนความหมายธาตุทั้ง 5 และฤดูกาลทั้ง 4


ถัดจากปืนใหญ่ 9 เทพเจ้า คือกำแพงเหลือง ซึ่งสร้างไว้เป็นกำแพงชั้นกลาง ล้อมรอบพระราชวังและสวนดอกไม้เอาไว้ โดยกำแพงเหลืองนี้ ได้ถูกตบแต่งอย่างสวยงามที่ประตูทั้งสี่ทิศ เมื่อผ่านกำแพงเหลืองเข้ามา จะพบกับพระราชวังไทเฮา ซึ่งเป็นพระราชวังที่สำคัญที่สุด


2 สุสานของพระเจ้าตือดึ๊ก

http://aumlucktour.com/sub2content.asp?id=16311


พระเจ้าตือดึ๊ก เป็นโอรสองค์ที่ 4 ของพระเจ้าเถี่ยวตรีแห่งราชวงศ์เหวียน และเป็นจักรพรรดิที่ปกครองเวียดนามได้นานถึง 36 ปี ถึงแม้สุสานแห่งนี้ จะไม่มีอะไรสะดุดตามากนัก แต่ก็เป็นความลงตัวในการก่อสร้างและออกแบบทั้งหมด โดยสุสานของพระเจ้าตือดึ๊ก ว่ากันว่าใช้เวลาก่อสร้างถึงสามปี และใช้แรงงานคนถึง 3000 คน โดยพระองค์ได้ออกแบบการก่อสร้างสุสานด้วยองค์เองทั้งหมด จุดที่น่าเยี่ยมชมของสุสานแห่งนี้ คือ ตำหนักสองหลังที่เก่าแก่ภายใต้อาคารไม้แห่งทะเลสาบลูเคียม ที่มีดอกไม้บานสะพรั่ง โดยพระเจ้าตือดึ๊กทรงใช้เวลาว่างผ่อนคลายอิริยาบถโดยการตกปลา ณ ที่แห่งนี้ ส่วนตัวสุสานเป็นส่วนที่อยู่ด้านในสุด


3 วัดนามซาว

http://huecityy.blogspot.com/2015/12/blog-post_20.html


วัดนามซาว เป็นวัดที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำหอม 2 กิโลเมตร สิ่งที่เป็นจุดเด่นสำคัญของวัดแห่งนี้ คือ ภายในวัดจะมีบันไดให้เดินขึ้นไปแท่นวงกลม ซึ่งเดิมเคยใช้ทำพิธีกรรมต่างๆ ภายใต้แนวคิดที่ว่า สวรรค์เป็นวงกลม ส่วนโลกจะเป็นสี่เหลี่ยมนั่นเอง

นอกจากสามสถานที่ ที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้ เมืองเว้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งให้เข้าเยี่ยมชม ผู้เขียนหวังว่า เมื่ออ่านบทความนี้จบแล้ว ผู้ที่รักการท่องเที่ยวอาจจะต้องหาเวลาไปเยี่ยมชมเมืองมรดกโลกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้สักครั้งในชีวิตให้ได้ ส่วนในบทความหน้า จะมีสถานที่ท่องเที่ยวจากที่ไหนมาแนะนำนั้น โปรดติดตามนะครับ


http://pppwu.blogspot.com/2018/08/complex-of-hue-monuments.html

http://pppwu.blogspot.com/2018/08/complex-of-hue-monuments.html

http://pppwu.blogspot.com/2018/08/complex-of-hue-monuments.html


ขอบคุณข้อมูลจาก https://travel.mthai.com/world-travel/63126.html 

วัดมหามัยมุนี หนึ่งใน 5 สถานที่ท่องเที่ยวของพม่า ที่ไปครั้งแรกแล้วไม่ควรพลาด

http://pongsakornth.eu5.org/?p=1023

     หากจะพูดถึงพระพุทธรูปที่มีความสำคัญของประเทศไทย แน่นอนว่า ทุกคนคงจะนึกถึงพระแก้วมรกตใช่มั้ยครับ แต่ในบทความนี้ ผมจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับพระพุทธรูปที่มีความสลักสำคัญเป็นอย่างมาก แต่พระพุทธรูปองค์นี้ ประดิษฐานอยู่ในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาครับ

      แต่ก่อนที่จะพูดถึงพระพุทธรูป ผมขอผู้อ่านไปรู้จักกับประวัติและความเป็นมาของวัดก่อนนะครับ ซึ่งชื่อวัดก็ตั้งตามชื่อพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ด้านในเลย ก็คือ วัดมหามัยมุนีนั่นเองครับ โดยวัดแห่งนี้ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2328 โดย พระเจ้าโบดอพญา หรือ พระเจ้าปดุง กษัตริย์แห่งราชวงศ์อลองพญา ตั้งอยู่ที่เมืองอมรปุระ ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงในขณะนั้น ต่อมาวัดแห่งนี้ ได้เป็นวัดที่สำคัญต่อพระมหากษัตริย์ พระมเหสี และราชวงศ์ชั้นสูง เพื่อปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา อย่างที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่า ประเทศพม่า หรือเมียนมา มีความเคร่งครัดในการนับถือพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

https://travel.mthai.com/world-travel/72350.html

      ต่อมาในปี พ.ศ. 2427 ได้เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งใหญ่ขึ้น สร้างความเสียหายให้กับวัดมหามัยมุนี รวมไปถึงพระพุทธรูปมหามัยมุนีด้วย ทองคำเปลวที่ปิดอยู่ที่องค์พระหลอมละลายออกมา ซึ่งต่อมามีการนำทองคำเปลวกลับไปปิดที่องค์พระพุทธรูปดังเดิม และวัดแห่งนี้ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่โดย พระเจ้าธีบอ หรือ พระเจ้าสีป่อ ทรงถวายพระราชทรัพย์เพื่อใช้ในการบูรณะปฏิสังขรณ์ เป็นจำนวนเงินถึง 18360 รูปี และได้มีการทำนุบำรุงวัดมาตั้งแต่นั้นจนถึงปัจจุบัน


      สำหรับทางเข้าไปภายในตัววัด จะแบ่งออกเป็นสี่ทิศ สิ่งที่ไม่ควรพลาดในการเยี่ยมชมก็คือ อาคารที่ใช้เก็บรูปหล่อสัมฤทธิ์ ซึ่งเดิมทีนั้น เคยมีรูปหล่อสัมฤทธิ์ถึง 30 กว่ารูป แต่ตอนนี้ เหลือเพียงรูปช้างเอราวัณ 1 รูป สิงห์ 3 ตัว และเทวดา 2 องค์เท่านั้น โดยสิ่งที่พิเสษของรูปหล่อเหล่านี้ก็คือ รูปหล่อสัมฤทธิ์ทั้งหมดในอาคารหลังนี้ ไม่ได้สร้างขึ้นในประเทศพม่าแต่อย่างใด แต่เป็นรูปหล่อที่ถูกสร้างขึ้นด้วยศิลปะของขอมครับ  หากแต่ผ่านการเคลื่อนย้ายหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่เมื่อครั้งที่เจ้าสามพระยาแห่งกรุงศรีอยุธยา ยกทัพไปตีนครธมได้สำเร็จ จึงได้สั่งให้ยกเอารูปหล่อสัมฤทธิ์ในเมืองนครธมมาประดิษฐานที่กรุงศรีอยุธยาด้วย ต่อมา ในปี พ.ศ. 2112 พระเจ้าบุเรงนองหรือผู้ชนะสิบทิศ ยกทัพจากกรุงหงสวาวดี (หรือเมืองพะโคในปัจจุบัน) เข้าตีกรุงศรีอยุธยา ซึ่งถือเป็นการเสียกรุงครั้งแรกของกรุงศรีอยุธยาด้วย หลังจากที่ตีได้สำเร็จ พระเจ้าบุเรงนองได้สั่งให้เคลื่อนย้ายรูปหล่อสัมฤทธิ์มาไว้ที่พม่าอีกทีหนึ่ง เห็นมั้ยละครับว่า รูปหล่อสัมฤทธิ์ในอาคารหลังนี้ มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาเลยทีเดียว และนอกจากจะมีอาคารที่เก็บรูปหล่อสัมฤทธิ์แล้ว ยังมีภาพเขียนสีน้ำมัน ที่พูดถึงตำนานของพระมหามัยมุนี ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างอีกด้วย

http://pongsakornth.eu5.org/?p=1023

       ส่วนอาคารที่เป็นประธานของวัด ก็คงจะหนีไม่พ้นวิหารพระมัยมุนี รูปแบบของตัวอาคาร เป็นศิลปะพม่าผสมผสานกับศิลปะตะวันตก เพราะตัวอาคารเพิ่งสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2428 ออกแบบโดยสถาปนิก ชื่อ เฮนรี่ ฮอย-ฟอกซ์ ส่วนองค์พระประดับประดาไปด้วยของล้ำค่าต่างๆ เช่น มรกต ทับทิม ไข่มุก โดยเครื่องประดับทั้งหมดนี้สามารถถอดออกได้ เช่นเดียวกับเครื่องประดับขององค์พระแก้วมรกต โดยตำนานของพระมหามัยมุนี เล่าว่า เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จเยือนกรุงธัญวดี เมืองหลวงของยะไข่ ครั้งนั้น พระเจ้าจันธรสุริยะได้ทรงขอสร้างรูปเคารพไว้เป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ก็อนุญาต และได้ทรงประธานลมหายใจให้กับพระพุทธรูปมหามัยมุนีด้วย และก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปยังสถานที่ต่อไป พระพุทธรูปมหามัยมุนี ได้พยายามที่จะลุกขึ้นทำความเคารพพระพุทธเจ้าด้วย แต่พระองค์ทรงห้ามไว้ จากตำนานนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่า พระพุทธรูปมหามัยมุนี เป็นพระพุทธรูปหนึ่งเดียวในพม่า ที่ยังคงมีลมหายใจ และนำมาสู่พิธีกรรมล้างพระพักตร์ให้กับพระพุทธรูปในตอนเช้าด้วย

 

http://pongsakornth.eu5.org/?p=1023

      โดยพิธีล้างพระพักตร์พระพุทธรูปนี้ ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจของวัด โดยพิธีจะเริ่มต้นตั้งแต่ตีสี่ เริ่มจากการประโคมวงมโหรี และทำพิธีโดยเจ้าอาวาส ส่วนพุทธศาสนิกชนที่จะเข้าร่วม ก็จะมีที่นั่งถัดออกไป อย่างไรก็ตาม พิธีกรรมเหล่านี้ คาดการณ์ว่าจะได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เนื่องจากศาสนาพุทธ ไม่นิยมให้ทำพิธีกรรมแบบนี้นะครับ  นี่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญ หากมีโอกาส อย่าลืมแวะไปเยี่ยมชมพิธีล้างพระพักตร์ พระพุทธรูปมหามัยมุนีกันด้วยนะครับ

      เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองพม่า ซึ่งถือได้ว่า เป็นประเทศที่มีการนับถือศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด และเป็นที่แสวงบุญของพุทธศาสนิกชนอีกที่หนึ่งเลย สำหรับสถานที่องเที่ยวต่อไป ผมจะพาทุกท่านไปเยี่ยมชมที่ไหนนั้น โปรดติดตามนะครับ สำหรับบทความนี้ สวัสดีครับ

 

อ้างอิงข้อมูลจาก : https://readthecloud.co/mahamuni-buddha-temple-myanmar/

และเว็บไซต์ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=149 

วัดจอมเขามณีรัตน์ สถานที่ท่องเที่ยวที่มีอายุยาวนานกว่า 200 ปี

http://laos-travel.blogspot.com/2013/11/Bokeo.html

       ขอทักทายท่านผู้อ่านที่รักในการท่องเที่ยว และรักในประวัติศาสตร์ครับ วันนี้ ผมจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับวัดแห่งหนึ่งของประเทศลาว ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านเรา ที่สามารถเดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับได้ โดยประเทศลาว ก็ถือเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับประเทศไทยนั่นแหละครับ ภาษาลาวบางสำเนียงก็เป็นภาษาอีสาน ซึ่งเป็นภาษาถิ่นของคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยปัจจุบัน หรือคนไทยบางกลุ่ม ก็โยกย้ายมาจากประเทศลาว เช่น ลาวพวน ลาวกาว เป็นต้น

แต่ในวันนี้ ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกับวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอายุยาวนานกว่า 200 ปี วัดแห่งนี้ก็คือ วัดจอมเขามณีรัตน์นั่นเองครับ

http://laos-travel.blogspot.com/2013/11/Bokeo.html


      วัดจอมเขามณีรัตน์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ วัดจอมแก้วมณีรัตน์ เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขานะครับ มีความสูง 100 เมตร เห็นจะได้ โดยวัดตั้งอยู่ภายในแขวงบ่อแก้ว ซึ่งถือได้ว่าเป็นแขวงที่เล็กที่สุดของประเทศลาว และติดกับชายแดนไทย-พม่า ต่อมา จึงกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของประเทศลาว เพราะติดกับท่าเรือนั่นเองครับ ทำให้เส้นทางคมนาคมติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน สามารถทำได้สะดวกมากขึ้น ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นแขวงบ่อแก้ว มีห้วยทรายเป็นเมืองหลวง แต่ปัจจุบัน เรียกเป็นอำเภอห้วยทรายแล้วครับ 


     วัดแห่งนี้ เป็นวัดที่หันหน้ามาทางอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายของประเทศไทย เมื่อขึ้นบันไดนาคจนไปถึงจุดสูงสุด จะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ และมองเห็นถึงฝั่งเชียงของได้เลยนะครับ ภายในตัววัด ยังมีวิหารที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัก ตามผนังวัดจะประกอบไปด้วยภาพเขียนสีน้ำมันที่เป็นศิลปะไทยใหญ่ผสมผสานกับศิลปะลาวครับ

http://laos-travel.blogspot.com/2013/11/Bokeo.html


     นอกจากนี้ ยังมีระฆังและกลองขนาดใหญ่บนหอหลองด้วย หากขึ้นไปอยู่บนหอหลองแล้ว สามารถมองเห็นป้อมกาโมห์ ซึ่งเดิมที เป็นป้อมของฝรั่งเศส ในช่วงที่ลาวตกเป็นเมืองขึ้นนะครับ แต่ตอนนี้ ไม่อนุญาตให้คนทั่วไปเข้าเยี่ยมชมได้แล้ว และวัดแห่งนี้ ก็เคยได้รับการปฏิสังขรณ์ โดยพระบาทสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงเสด็จประพาสเมืองบ่อแก้ว ในปี พ.ศ. 2537 อีกด้วยครับ

https://forums.chiangraifocus.com/?topic=593641


      เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศลาว วัดแห่งนี้อาจจะไม่มีข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์มากนัก หากแต่สามารถที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศเพื่อนบ้านเรา เพื่อเยี่ยมชมงานศิลปะในวัดได้ และยังได้ช่วยไปกระตุ้นภาคเศรษฐกิจให้กับประเทศที่เราเยกว่า เป็นประเทศบ้านพี่เมืองน้องของไทยอีกด้วยนะครับ สำหรับบทความนี้ ผมขอจบไว้เพียงเท่านี้ ไว้บทความหน้า จะพาทุกท่านไปชมสถานที่ท่องเที่ยที่ไหน หรือจะมีเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์อะไรมาฝากทุกท่าน โปรดติดตามด้วยนะครับ


อ้างอิงข้อมูลจาก: laos-travel.blogspot.com › 2013/11 › Bokeo

 

บันทายศรี สถานที่ท่องเที่ยวในกัมพูชาที่ไม่ควรพลาด

https://sites.google.com/site/prasathhin/prawati-prasath-hin/prasath-ban-thay-sri


      ประเทศกัมพูชา เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และมีอิทธิพลกับประเทศไทยในหลายๆด้าน เช่น อิทธิพลด้านศิลปะ หรือแม้กระทั่งอิทธิพลด้านภาษา เพราะประเทศกัมพูชา มีชายแดนติดกับประเทศไทย ทำให้ง่ายและสะดวกต่อการไปมาหาสู่กันเป็นธรรมดา

แต่หากจะพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวในกัมพูชาแล้ว ส่วนมากเราจะเห็นว่าเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยปราสาทหิน ซึ่งสะท้อนความคิด ความเชื่อในเรื่องศาสนาของประเทศกัมพูชาในอดีตเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่เป็นยุครุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยหลักพื้นฐานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูนั้น จะมีความเชื่อเรื่องเทพเจ้า ที่เรียกว่า ตรูมูรติ ซึ่งประกอบไปด้วย พระพรหม พระศิวะ และพระนารายณ์ ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นต้นเหตุให้มีการก่อสร้างปราสาทหินขึ้นเกลื่อนกลาดในกัมพูชา และเป็นมรดกตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน

ในบทความนี้ ผมจะพาไปรู้จักกับ ปราสาทบัณทายศรี ซึ่งถือเป็นอีกสถานที่หนึ่ง ที่หากได้ไปเยือนกัมพูชาแล้ว บอกเลยไม่ควรพลาด 

https://sites.google.com/site/prasathhin/prawati-prasath-hin/prasath-ban-thay-sri


       ปราสาทหินบัณทายศรี ถูกสร้างขึ้นในเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 1510 และสร้างสำเร็จในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 5   โดยพราหมณ์วัชญวราหะ จุดประสงค์ก็เพื่อ สร้างถวายแด่พระอิศวร ซึ่งเป็นหนึ่งในเทพทั้งสาม ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ตัวปราสาทมีขนาดเล็ก จุดเด่นของการสร้างครั้งนี้ก็คือ ปราสาทถูกสร้างขึ้นโดยใช้หินสีชมพู ซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งที่หายาก

https://sites.google.com/site/prasathhin/prawati-prasath-hin/prasath-ban-thay-sri

       ภายในตัวปราสาท ก็จะมีการสลักเป็นรูปต่างๆตามความเชื่อ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความวิจิตรบรรจงของผู้สร้าง ยิ่งไปกว่านั้น ยังแสดงให้เห็นถึงความศรัทธาในศาสนาอีกด้วย โดยซุ้มประตูทางเข้าปราสาท จะมีรูปสลักของพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ด้านซ้ายมือนั้น จะจำลักภาพพระอิศวรทรงโค และด้านขวามือ จำลักด้วยภาพพระนารายณ์อวตารเป็นนรสิงห์

https://sites.google.com/site/prasathhin/prawati-prasath-hin/prasath-ban-thay-sri


       เมื่อผ่านประตูเข้าไป จะเห็นว่าทุกด้านของผนังปราสาท มีงานศิลปะที่วิจิตรบรรจง เช่น ที่หน้าบันของแต่ละซุ้มประตูของหอสมุด หรือที่เรียกว่า บรรณาลัย จะประกอบไปด้วยภาพวาดของเทพในสาสนาพราหมณ์ โดยด้านทิศเหนือ จะเป็นภาพของพระอินทร์ กำลังบันดาลให้ฝนตก ด้านทิศตะวันออก จะแสดงภาพพระกฤษณะกำลังประหารพระยากงในพระราชวัง เป็นต้น

https://sites.google.com/site/prasathhin/prawati-prasath-hin/prasath-ban-thay-sri


        ด้วยเหตุที่ปราสาทบันทายศรี เป็นอีกหนึ่งปราสาทที่สำคัญ และสะท้อนความเชื่อทางศาสนาของชาวเขมร หรือขอมในอดีตได้อย่างดี ผู้เขียนจึงขอทิ้งท้ายไว้ว่า หากท่านได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวกัมพูชา ปราสาทบันทายศรีแห่งนี้ ก็เป็นอีกแห่งหนึ่ง ที่ท่านไม่ควรพลาดโดยประการทั้งปวงครับ และในบทความหน้า เราจะพาท่านผู้อ่านไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โปรดติดตาม สำหรับบทความนี้ สวัสดีครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก www.rakyimtour.com › travel-info › banteay-srei-cambodia และ www.lifestyle224.com › ... › RELAX › TRIP